วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

บทความ 4



เชื่อว่าหลายๆคนคงมีรถในฝัน และหนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ Lamborghini รถกระทิงดุ สัญชาติ อิตาลี ซึ่งเจ้าของบล็อคจะพาทุกคนไปรู้จักกับต้นกำเนิด "Lamborghini" 
            ใครจะทราบบ้างว่าแท้จริงแล้ว หนึ่งรถสปอร์ตที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นรถระดับซุปเป อร์คาร์อย่าง "แลมเบอร์กินี" นั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากความไม่พอใจเล็กๆ ของใครคนหนึ่งที่นำไปสู่การพัฒนาจนกลายมาเป็นรถสปอร์ ตชื่อก้องโลกในปัจจุบัน ซึ่งใครคนนั้น มีนามว่า "เฟอรุชชิโอ แลมเบอร์กินี"


           ลัมโบร์กีนี นั้นเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งสำหรับ ความเร็ว และความหรู เช่นเดียวกับ เฟอร์รารี การออกแบบตราสัญลักษณ์ของลัมโบร์กินีนั้นได้รับไอเดียมาจากการแข่งขันสู้วัวกระทิง ในประเทศสเปน


           เฟอรุชชิโอ แลมเบอร์กินี คือชื่อของผู้สร้างตำนานบทใหม่ของรถสปอร์ตระดับซุปเป อร์คาร์ เกิดเมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ.2459 ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ทางเหนือของอิตาลี  Ferruccio Lamborghini เกิดในตระกูลชาวนา เขาได้มีความสนใจในด้านเครื่องยนต์เป็นพิเศษ ดัดแปลงเครื่องจักรกลที่ใช้ในไร่นา      
 เมื่อโตขึ้นได้เข้าเรียนในวิทยาลัย อุตสาหกรรม ที่เมืองโบโลญญ่าหลังจากที่ได้ศึกษาเป็นเวลาหลายปีก็ สำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ ทางด้านอุตสาหกรรม เฟอรุชชิโอ เริ่มทำงานในอู่ซ่อมเครื่องยนต์ เมื่อช่วงต้นอายุยี่สิบของเขานั้น สงครามโลกครั้งที่สองได้เกิดขึ้น และเขาได้เข้าร่วมรับใช้ชาติด้วยการทำงานที่ฐานทัพอา กาศอิตาลีที่เมือง Rhodes โดยทำหน้าที่ซ่อมแซมยวดยาน หลังจากที่ สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง เขาถูกบังคับให้ทำงานดังกล่าวด้วยการซ่อมยวดยานของฝ่ ายสัมพันธมิตรต่อไปอีกจนถึงปี พ.ศ. 2489 ในที่สุดเขาก็ได้กลับบ้าน และได้เริ่มต้นซ่อมแซมรถแทรกเตอร์ของอิตาลี ที่ยังคงใช้อะไหล่จากยวดยานของทหาร และนี่เองคือ จุดเริ่มต้นในการตั้งโรงงานแทรกเตอร์ ที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จมากที่สุดในฐานะนักธุรกิจ 


        เฟอรุชชิโอเป็นคนที่เข้าใจชีวิต และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข และเป็นเพราะว่าเขาให้ความสนใจในเรื่องยานยนต์โดยเฉพาะประเภทที่มีความเร็วสูง เขาจึงซื้อ เฟอร์รารีหลายคัน ในช่วงเวลานั้น การสร้างรถเฟอร์รารี สำหรับถนนปกตินั้นทำการผลิตกันแบบขอไปที เจ้าของรถเฟอร์รารีหลายคนไม่พอใจในรถของ ตนเอง แต่ก็ไม่กล้าที่จะร้องเรียน เพราะกลัวว่าตนเองอาจจะไม่ได้รับอนุญาตให้ซื้อรถได้อีก และจากสาเหตุของการให้บริการหลังการขาย ที่ย่ำแย่ เนื่องจาก เอนโซ เฟอร์รารี นั้นได้ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจทั้งหมดของเขาไปที่รายการแข่งรถ ส่วนรถที่ใช้สำหรับขับขี่บนถนนถูกผลิตขึ้นเพื่อนำเงิ นที่ได้ไปพัฒนารถแข่งของเขาเท่านั้น ในช่วงต้นของทศวรรษที่ 60 เฟอรุชชิโอ แลมเบอร์กินี ถอย เฟอร์รารี 250 GT ถึงกระนั้นเขาก็ต้องส่งรถคันดังกล่าวเข้า ซ่อมหลายครั้งและดูเหมือนว่ามันไม่เคยได้รับการซ่อมแซมได้อย่างถูกต้องเลย และนี่คือปฐมเหตุในการเริ่มต้น ตำนานของ "แลมเบอร์กินี"


          ลัมโปร์กินี เป็นชื่อของรถสปอร์ทที่ปรากฎตัวออกสู่สายตาโลกเมื่อประมาณสามทศวรรษที่ผ่าน มานี้เอง แต่ชื่อเสียงและกิตติคุณของรถสปอร์ทพันธ์อิตาลียี่ห้อนี้ กลับโด่งดังไม่แพ้รถสปอร์ทเก่าแก่อย่าง อัลฟา-โรเมโอ เฟร์รารี หรือ มาเซราตีนั่นเลย สัญลักษณ์ของ ลัมโบร์กินี เป็นรูปวัวกระทิง บรรจุอยู่ในโล่ โดยมีแถบชื่อ LAMBORGHINI พาดทับอยู่ด้านบน การที่ลัมโบร์กินีใช้รูปวัวกระทิงเป็นสัญสักษณ์ก็เนื่องจากสัตว์ชนิดนี้เป็น สัญลักษณ์ปีเกิดของผู้ก่อตั้งกิจการนั่นเอง เฟร์รุชชิโอ สัมโบร์กินี (FERRUCCIO LAMBORGHINE) ชาวอิตาลีผู้ก่อร่างสร้างตัวจากเงินในกระเป๋าไม่กี่หมื่นลีร์ จนกลายเป็นนักธุรกิจระดับ “มัลติมิลเลียนแนร์” ผู้มีกิจการใหญ่โตในวงการอุต-สาหกรรมรถแทรคเตอร์และเครื่องปรับอากาศของ เมืองมะกะโลนี ได้ควักเงินทุนก้อนหนึ่งก่อตั้งบริษัท ออโตโมบิลี เฟร์รุชชิโอ ลัมโบร์กินี เอศพีเอ (AUTOMOBILI FERRUCCIO LAMBORGHINI S.p.A.) ขึ้นเมื่อปี 1962 โดยที่จุดมุ่งหมายของบริษัทเกิดใหม่นี้ก็คือ ผลิตรถสปอร์ทชั้นยอดออกขายแข่งกับยักษ์ใหญ่อย่างเฟร์รารีนั่นเอง
           ด้วยแรงฮึด Lamborghini จึงอยากสร้างรถของตัวเองให้ดีกว่ารถ Ferrari ภายใต้ชื่อ Automobili Lamborghini ถือกำเนิดขึ้นในช่วงปี 1962 ซึ่งโรงงานห่างจาก Ferrari เพียงแค่ 15 กม. เท่านั้น ต่อจากนั้นค่ายรถยนต์เจ้าของสัญลักษณ์กระทิงเปลี่ยวก็ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ของวงการรถสปอร์ตในยุโรป ให้ได้ตื่นตะลึงกับรูปแบบของตัวรถ Lamborghini และเทคโนโลยีของเครื่องยนต์ การวางตำแหน่งเครื่อง และการบังคับควบคุมที่วิศวกรและนักขับทดสอบของบริษัทร่วมกันคิดค้นและพัตนา จนเสร็จสมบูรณ์เป็น Lamborghini 350 GTV ดังภาพด้านล่าง


            เขาได้ขายกิจการรถแทร็กเตอร์และรถไถนาของ Lamborghini ให้กับบริษัท Same ผู้ผลิตเครื่องจักรกลทางการเกษตร จากนั้นไม่นานบริษัทได้ประสบกับปัญหาทางการเงินจนถึงขั้นล้มละลายลงในปี 1977 และถูกซื้อโดยพี่น้องตระกูล Mimran แต่กิจการก็ยังติดขัด จึงถูกขายต่อให้กับบริษัท Chrysler แต่ก็ยังเกิดปัญหา จึงถูกขายต่ออีกทอดไปยังกลุ่มทุนจากอินโดนีเซีย และที่สุดท้ายบริษัท Audi AG ทำให้ Lamborghini กลับมามั่นคงอีกครั้งจากการดูแลพัฒนาตัวผลิตภัณฑ์จากวิศวกรและทีมงานจากเยอรมัน ที่มีความมุ่งมั่นบวกกับเงินทุนมหาศาลทำให้หวนสู่วงการซูเปอร์คาร์อีกครั้งในนามของ Gallardo และ Murcielago ซึ่งเป็นการผสานนวัตกรรมของ Lamborghini และ Audi เข้าด้วยกัน ทำให้ขายได้มากกว่า 9,000 คันในเวลานั้น



เครื่องยนต์
ตัวย่อ LP ในชื่อรุ่น Huracán LP 610-4 หมายความถึงการวางเครื่องยนต์ V10 ที่ถูกออกแบบใหม่ มันถูกวางเช่นเดียวกันกับรถ Lamborghini รุ่นอื่นๆ ตามแนวยาวของตัวรถอยู่ที่ด้านหลังคนขับ ("longitudinaleposteriore") โดยที่เลข 610 นั้นเป็นกำลังขับในหน่วยแรงม้าซึ่งคำนวณแล้วเท่ากับ 449 กิโลวัตต์ที่จะมีให้ใช้ที่ 8,250 รอบ/นาที ด้วยตัวเลขนี้มันจะให้กำลังไม่น้อยกว่า 86.3 กิโลวัตต์ / 117.3 แรงม้า ต่อความจุหนึ่งลิตรของเครื่องยนต์ กราฟแสดงแรงบิดนั้นแตะอยู่ที่ปลายบนสุดที่ 560 นิวตันเมตรที่ 6500 รอบ  เครื่องขนาด 5.2 ลิตร V10 เครื่องนี้เป็นเครื่องยนต์สมรรถนะสูงไร้ระบบอัดอากาศ มันจะพาผู้ขับเข้าสู่ภวังค์ด้วยการตอบสนองของคันเร่งที่ไว โดยจะปั่นให้รอบหมุนได้กว่าขีด 8,000 รอบ ด้วยแรงดึงอันมหาศาลและเสียงที่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้เมื่อรอบตวัดขึ้นไปเรื่อยๆ ดั่งเสียงจากเบสขนาดใหญ่ผสมกับเสียงแหลมดังกังวาน

lamborghini รุ่น Huracán





1) แลมโบกินีก่อตั้งในปี 1963 และถูกซื้อไปโดยออดี้ (Audi) ในปี 1998 โดยถือเป็นบริษัทในเครือโฟล์กสวาเกน (Volkswagen)


2) งานการตัดเย็บเบาะและแผงคอนโซลต่าง ๆ ภายในรถยนต์แลมโบกินีเป็นฝีมือของช่างตัดเย็บหญิงเท่านั้น ซึ่งผู้ชายไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในส่วนนี้


3) เฟอร์รุชิโอ แลมโบกินี ผู้ก่อตั้งบริษัทดังกล่าวเกิดในราศีพฤษภ ซึ่งเป็นที่มาของตรากระทิงดุอันโด่งดังในปัจจุบัน นอกจากนี้ ชื่อของรถทุกรุ่นยังมาจากชื่อของวัวนักสู้ด้วย

4) แรกเริ่มเดิมที แลมโบกินีเป็นผู้ผลิตรถไถมาก่อน และถึงแม้ปัจจุบันพวกเขาจะไม่ได้ทำรถไถแล้ว แต่ก็ยังมีแผนกรถไถที่มีชื่อว่า Lamborghini Trattori หรือ Lamborghini Tractors ซึ่งเป็นทีมออกแบบที่เคยมีผลงานชั้นยอดอย่างแลมโบกินี กัลป์ลาร์ดอ (Lamborghini Gallardo)


5) ในวันหนึ่ง เฟอร์รุชิโอ แลมโบกินี ได้นำเฟอร์รารี 250จีที (Ferrari 250GT) ไปเปลี่ยนคลัช เอ็นโซ เฟอร์รารี ก็ได้บอกกับเขาว่า “นายมันเป็นแค่คนทำรถไถโง่ ๆ นายคงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสปอร์ตเลยใช่ไหมล่ะ” หลังจากนั้น 4 เดือน เฟอร์รุชิโอก็เปิดตัวรถสปอร์ตคันแรกของพวกเขา แลมโบกินี 350 จีทีวี (Lamborghini 350GTV) ซึ่งเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล


6) ในการเปิดตัวครั้งแรกของ แลมโบกินี 350 จีทีวี ที่ Turin Auto Show พวกเขายังหาเครื่องยนต์ที่เหมาะสมมาประจำการในรถรุ่นนี้ไม่ได้ จึงได้วางอิฐไว้ในห้องเครื่องแทน

7) แลมโบกินีมีศูนย์ฝึกการขับขี่ในฤดูหนาว สอนเทคนิคการขับขี่บนพื้นน้ำแข็งและหิมะโดยเฉพาะ ซึ่งมีไม่กี่แห่งบนโลก


8) รหัสของแลมโบกินีทุกรุ่นจะนำหน้าด้วยตัวอักษร LP ย่อมาจาก Longitudinale Posteriore แปลว่า รถยนต์ที่มีเครื่องยนต์วางตามแนวยาวอยู่ด้านหลังเบาะนั่ง แต่อยู่ด้านหน้าเพลาขับล้อหลัง หมายถึงเป็นรถยนต์แบบเครื่องยนต์วางตรงกลางนั่นเอง


9) ประตูปีกนกของแลมโบกินี สงวนไว้ให้รุ่น V12 เท่านั้น


10) ถ้าคุณต้องการให้แลมโบกินีใช้สีแดงไม่ว่าในส่วนใดก็ตาม เช่น ตัวถัง ก้ามเบรก ล้ออัลลอย ฯลฯ คุณต้องจ่ายเงินเพิ่ม เนื่องจากสีแดงเป็นสีสัญลักษณ์ของคู่แข่งตัวฉกาจอย่างเฟอร์รารี (Ferrari)


1. Lamborghini Egoista
รถยนต์ต้นแบบที่มีที่นั่งเพียงที่เดียว มันได้รับแรงบันดาบใจมาจากเฮลิคอปเตอร์อาปาเช่ ดูแล้วก็เป็นดีไซน์ที่ล้ำยุคและลึกล้ำเหมือนกับรถในเกม Sci-Fi เลยทีเดียว และแน่นอนมันไม่ได้ถูกผลิต


2. The Marzal
รถยนต์ต้นแบบที่มีกระจกเป็นส่วนประกอบเด่น เช่น หลังคาและประตู และเหตุนี้ทำให้ท่าน Ferruccio Lamborghini กังวลว่าด้วยประตูแบบนี้จะทำมองทะลุเข้ามาเห็นขาอ่อนของแฟนสาวเจ้าของรถได้ อีกทั้งด้านท้ายรถยังดูเหมือนรถในวีดีโอเกมจนเกินไปอีก นอกจากภายนอกแล้วเครื่องยนต์ของรถคันนี้ก็ถือว่าแปลกในหมู่แลมโบกินี่ทั้งหมดเพราะมันใช้เครื่องแบบ 6 สูบเท่านั้นเอง ทั้งหมดนี้ทำให้มันไม่ได้ถูกผลิต


3. Lamborghini Sogna
รถคันนี้ถูกคาดหวังเอาไว้ว่าจะมาแทนรุ่นพี่ระดับตำนานอย่าง Lamborghini Countach มันใช้เครื่องยนต์แบบ V12 ความจุ 5.2 ลิตร กำลัง 455 แรงม้า ความเร็วสูงสุดมากกว่า 300 กม./ชม. และทั้งหมดคือสิ่งที่ดี แต่ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูแย่มากทำให้มันไม่ได้เกิดในสายการผลิตจริง


4. Lamborghini Pregunta
คำว่า “Pregunta” ในภาษาสเปนหมายถึง “คำถาม” รถคันนี้ถูกออกแบบโดยนักออกแบบชาวฝรั่งเศล มันใช้เครื่องยนต์แบบ V12 กำลัง 530 แรงม้า และด้วยการออกแบบหลังคาที่แปลกแหวกแนวนี้ (half roof) และไฟหน้าที่ออกคงเกิดคำถามมากมายตามมากมายจนมันไม่ได้ถูกผลิตจริง


Lamborghini Asterion LPI910-4

Lamborghini Aventador LP750-4 SuperVeloce

มาถึงตรงนี้เจ้าของบล็อคหวังว่าผู้อ่านหลายๆคน คงมีความอยากที่จะเป็นเจ้าของรถสปอร์ตคนนี้แล้วแน่นอน คราวหน้าเจ้าของบล็อคจะนำเสนอเรื่องอะไร อย่าลืมติดตามชมกันนะคะ

ข้อมูลอ้างอิง

1) http://www.thairath.co.th/content/445047 : เครื่องยนต์
3) http://board.postjung.com/649305.html : ประวัติ
5) http://pantip.com/topic/30594697 : ประวัติ
6) http://car.kapook.com/view85676.html : 10 เรื่องที่คุณไม่เคยรู้

ภาพที่นำมาทำหัวข้อ



เรียบเรียงโดย : สุชานันท์ พวงมาลี

วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

บทความ 3


       สวัสดีแฟนๆ บล็อคทุกคน เจ้าของบล็อคคนเดิมเพิ่มเติมคือน้ำหนักขึ้น ทักทายกันพอประมาณดีกว่า
เนอะ เพราะในวันนี้เจ้าของบล็อค จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับนักรบของอาทิตย์อุทัย หรือที่พวกเรารู้จักในชื่อ "ซามูไร"   
       ซะมุไร (ญี่ปุ่น  :   ,  ภาษาไทยนิยมทับศัพท์ว่า "ซามูไร" ) แปลเป็นภาษาไทยว่าทหาร คำว่า ซะมุไร มีต้นกำเนิดจากคำว่า ซะบุระอุ ซึ่งเป็นคำกริยาในภาษาญี่ปุ่นโบราณ ที่มีความหมายว่า รับใช้ ฉะนั้น ซะมุไรก็คือคนรับใช้นั่นเอง


         กำเนิดของซามูไรนั้นต้องย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยเฮอัง (Heian) ราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 8 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 9 มีการระดมนักรบ ผู้มีฝีมือจำนวนมากเพื่อปราบกบฏ ในลักษณะของนักรบรับจ้าง แต่ต่อมาเมื่อกบฏถูกปราบจนราบคาบแล้ว นักรบเหล่านี้ก็ถูกจ้างโดยตระกูลที่มีอำนาจทางการเมือง เพื่อให้ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยและเก็บภาษีจากประชาชนและฝึกกองกำลังนักรบขึ้นมา ยุคนั้นตระกูลใหญ่สองตระกูลที่แย่งชิงอำนาจการปกครองบ้านเมืองกัน คือ ตระกูลมินาโมโตะ และตระกูลไทร่า ซามูไรมีความสำคัญมากในช่วงนั้น เพราะเป็นกำลังสำคัญในการต่อสู้แย่งชิงอำนาจกัน จากนักรบ
โนเนมก็กลายเป็นคนมีศักดิ์ศรีมีวรรณะสูงขึ้นมาเหนือประชาชนคนธรรมดา


            ความหมายหนึ่งของซามูไร คือ คนรับใช้ ซึ่งบ่งบอกถึงการมีนายเหนือหัว หรือไดเมียว นั่นเอง ซามูไรที่ไม่มีนายเรียกว่า โรนิน (浪人 ซึ่งตามศัพท์แล้วแปลว่า คนที่ไม่มีหลักแหล่งเป็นที่เป็นทาง) ซึ่งการไร้เจ้านายนั้นเป็นสภาพที่ไร้ศักดิ์ศรียิ่งนักสำหรับพวกเขา ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่เกี่ยวข้องกับซามูไรเมื่อปี พ.ศ.2244 สมัยเอโดะ มีเรื่องราวของโรนิน 47 คน หรือมักจะเรียกสั้นๆว่า 47 โรนิน ผู้จงรักภักดีต่อไดเมียวอาซาโนะ นางาโนริ ไดเมียวผู้นี้ถูกบังคับให้ทำฮาราคีรี (เรียกอีกอย่างว่า เซปปุกกุ 腹切) เนื่องจากใช้ดาบทำร้ายข้าหลวงชื่อ คิระ โยชินากะ ผู้ทรงอิทธิพลในปราสาทของโชกุน ไม่เพียงเท่านั้น ตามกฎใครก็ตามที่ชักอาวุธในปราสาทโชกุนต้องถูกประหารชีวิตรวมทั้งคนในครอบครัวและถูกยึดทรัพย์สมบัติทั้งหมดด้วย เมื่อสูญเสียเจ้านายไป ซามูไรจำนวนมากจึงกลายเป็นโรนินผู้ไร้ที่พำนักอาศัย จากทั้งหมดนั้นมีโรนินจำนวน 47 คนที่ต้องการแก้แค้น โดยตั้งใจว่าจะต้องเอาหัวของคิระ โยชินากะ ไปเซ่นไหว้หลุมศพของเจ้านายพวกตนให้ได้ จึงร่วมกันวางแผนล้างแค้น แต่การลงมือนั้นไม่ใช่ของง่าย เพราะคิระเองไม่ใช่คนธรรมดาที่ใครอยากฆ่าก็ไปฆ่าได้ การวางแผนเพื่อเตรียมการนั้นใช้เวลานานกว่า 2 ปี ก่อนที่ทั้งหมดจะลงมือ เรื่องราวของ 47 โรนิน นิยมนำไปเล่นเป็นละครคาบูกิในญี่ปุ่นรวมทั้งภาพยนตร์หลายครั้ง ล่าสุด ทางฮอลลีวูดได้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ในชื่อว่า 47 โรนิน มหาศึกซามูไร ที่ได้ดาราอย่าง 
คีอานู รีฟส์ มาแสดงนำ



มีถึง 3 รูปแบบ แบ่งประเภทตามลักษณะของตัวคันจิ เลขหนึ่ง เลขสิบ แล้วก็ เลขสาม คือตัดเป็นรูปตัวอักษรคันจินั่นเอง

一                    十                     三
いち               じゅう             さん
หนึ่ง                   สิบ                      สาม
         เซ็ปปุกุ (ญี่ปุ่น : 切腹 seppuku ) หรือ ฮาราคีรี (ญี่ปุ่น : 腹切り harakiri ฮะระกิริ) เป็นการฆ่าตัวตาย โดยการคว้านท้อง ในยุคซามูไร ของประเทศญี่ปุ่น โดยใช้มีดสั้นแทงที่หน้าท้องใต้เอวขวา แล้วกรีดมาทางซ้ายแล้ว ดึงมีดขึ้นข้างบน ซึ่งเป็นการเปิดเยื่อบุช่องท้องแล้วตัดลำไส้ให้ขาด หลังจากนั้นซามูไรอีกคนหนึ่งจะใช้ดาบซามูไรตัดศรีษะจนขาด การตายด้วยวิธีนี้ เชื่อว่าเป็นการตายอย่างมีเกียรติแล้ว ส่วนใหญ่ผู้ทำเซ็ปปุกุทำตามหลักศาสนาชินโตที่จารึกไว้ในคัมภีร์โคะจิคิ เพราะแสดงความกล้าหาญและพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการบังคับจิตใจของตนเอง การคว้านท้องถูกนำมาใช้โดยสมัครใจที่จะตายกับซามูไรที่มีเกียรติแทนที่จะตกอยู่ในมือของศัตรูของพวกเขา (และน่าจะประสบทรมาน), เป็นรูปแบบของโทษประหารชีวิตสำหรับซามูไรที่มีการกระทำผิดร้ายแรงหรือดำเนินการ เหตุผลอื่น ๆ ที่ได้นำความอัปยศแก่พวกเขา การฆ่าตัวตายโดยการจำยอมจึงถือเป็นพิธีซึ่งโดยปกติจะเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมซับซ้อนมากขึ้นและการดำเนินการในฐานะที่ต้องการให้ผู้อื่นเข้าใจในการต้องการในการรักษาเกียรติของพวกเขาจึงควรมีผู้คนมาชมขณะทำเซ็ปปุกุด้วย ในญี่ปุ่น คำว่า "ฮาราคีรี" ถือเป็นคำหยาบและไม่เคารพต่อผู้กระทำเซ็ปปุกุ และการเขียนตัวอักษรคันจิของสองคำนี้เขียนเหมือนกันโดยสลับตัวอักษรหน้าหลัง
           จริงๆแล้วในการประหารชีวิตด้วยวิธีนี้ จะมีเพชรฆาตรอตัดหัวอยู่ด้านหลังเพื่อไม่ให้ทรมาน หลายคนบอกว่า มันเป็นเรื่องยากมากที่จะดึงมีดที่อยู่ในท้องขึ้นๆลงๆ เพราะมนุษย์เราคงทนพิษบาดแผลไม่ไหว ถ้าไม่ตายก่อนก็คงไม่มีกําลังเหลือพอที่จะทําเรื่องที่เหนือมนุษย์ ทําได้หรือไม่ได้...ความจริงเป็นอย่างไรไม่อาจทราบได้ แต่ถ้าเป็นจริง ก็ต้องทึ่งกับความเป็นเลือดซามุไรของคนญี่ปุ่นในอดีตจริงๆ  



          “ซาคาโมโตะ เรียวมะ” บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์คนหนึ่งของญี่ปุ่นยุคปฎิรูปเมจิ ความโดดเด่นของเรียวมะต่างไปจากมหาบุรุษคนอื่นๆ ในประวัติศาสตร์ที่สร้างผลงานข้ามยุคสมัยจากการรบ การทูต หรือการปกครอง เพราะ “ซาคาโมโตะ เรียวมะ” เป็นเพียงซามูไรบ้านนอกธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีสังกัดหรือเจ้านาย ไม่มีกองทัพหรือตระกูลใหญ่หนุนหลัง แต่เขากลับเป็นคนเชื่อมประสานกองกำลังหลายฝ่ายที่ขัดแย้งกันอย่างหนักให้กลายเป็นพันธมิตร และจุดชนวนการปฏิรูปญี่ปุ่นเข้ามาสู่สมัยใหม่อันก้าวหน้า มีอารยธรรมและอิทธิพลทัดเทียมกับชาติตะวันตกได้เพียงลำพัง เรียวมะเองก็เห็นว่ารัฐบาลกลางโตคุงาวะเป็น “เนื้อร้าย” ของประเทศที่ปิดกั้นความเจริญของญี่ปุ่น เมื่อซัตสึมะซึ่งเปรียบเสมือน “ผู้มีอิทธิพลคุ้มครอง” กลุ่มของเรียวมะมีปัญหา เขาจึงเสนอทางแก้ปัญหาชนิดที่ทุกคนฟังแล้วต้องอึ้ง ทางออกของ
เรียวมะก็คือ ซัตสึมะจะต้องผนึกกำลังกับคู่แค้นอย่างโจชู เพื่อ “สร้างขั้วอำนาจใหม่” ที่เหนือกว่ารัฐบาลกลาง และทำศึกเพื่อล้มรัฐบาลลงไปทั้งซัตสึมะและโจชูต่างไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน แต่เรียวมะในฐานะ
“คนกลาง” ที่เคยมีความสัมพันธ์อันดีจับโจชู และทำงานให้แคว้นซัตสึมะ ก็มีบทบาทสำคัญในการเจรจาให้ทั้งสองฝ่ายไว้เนื้อเชื่อใจกัน เมื่อผนวกกับการบีบคั้นของรัฐบาลกลาง ทำให้พันธมิตรซัตสึมะ-โจชู อันเข้มแข็งถือกำเนิดขึ้นในปี 1866 โดยมีเป้าหมายเพื่อ “โค่นล้มรัฐบาลโตคุงาวะ ถวายคืนพระราชอำนาจ”
ขั้วพันธมิตรซัตสึมะ-โจชู สามารถเอาชนะกองทัพของรัฐบาลกลางอันเก่าแก่และเทอะทะได้ในปีเดียวกัน ทำให้อิทธิพลของรัฐบาลกลางยิ่งอ่อนแอลงไปอีก น่าเสียดายว่า “เรียวมะ” ผู้สร้างความเป็นไปได้จากความเป็นไปไม่ได้ ไม่ได้เห็นความสำเร็จที่เขาแผ้วถางเส้นทางไว้ เพราะในปีถัดมา 1867 เรียวมะที่ “เจิดจรัสเกินไป” จนเป็นภัยคุกคามต่อขั้วอำนาจเก่าหลายๆ ฝ่าย ถูกลอบสังหารอย่างลึกลับในเกียวโต โดยยังไม่สามารถหาตัวผู้สังหารที่แท้จริงได้จนทุกวันนี้



                    นานมาแล้วก่อนที่จะเกิดชนชั้นซามูไร ชาวญี่ปุ่นถูกฝึกให้ใช้ดาบและหอกในการป้องกันตัว  
ผู้หญิงถูกฝึกฝนให้ใช้ naginata (ง้าวยาว) kaiken (ดาบสั้น) และศิลปะการป้องกันตัวของ tantojutsu ซึ่งการฝึกอบรมดังกล่าวจะทำให้มั่นใจได้ว่าผู้หญิงสามารถสู้และป้องกันเมืองได้หากขาดผู้ชาย ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งต่อมาได้รู้จักกันในนาม จักรพรรดินี Jingu (ค.ศ.169-269) เธอได้ใช้ทักษะดังกล่าวกระตุ้นให้ญี่ปุ่นเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม และเธอยังได้รับการกล่าวขานเป็นตำนานว่าเธอคือ Onna-bugeisha คนแรกที่บุกโจมตีเกาหลีในปี ค.ศ.200 หลังจากที่องค์พระจักรพรรดิ Chūai จักรพรรดิองค์ที่ 14 ของญี่ปุ่นซึ่งเป็นสามีของเธอได้ถูกสังหารในการต่อสู้ ตามตำนานเล่าว่าเธอสามารถนำทัพญี่ปุ่นไปพิชิตเกาหลีได้โดยไม่มีการหลั่งเลือดแม้แต่หยดเดียว แต่ก็ยังมีการถกเถียงกันอยู่ในเรื่องการมีชีวิตอยู่ของเธอ ความสำเร็จของเธอในครั้งนั้นได้กลายเป็นตัวอย่างของ onna bugeisha รุ่นหลังสืบต่อมา ภายหลังจากปีที่ Jingu เสียชีวิต เธอสามารถทำให้ญี่ปุ่นนั้นวางโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมได้สำเร็จ และในปี 1881 จักรพรรดินี Jingu ได้กลายเป้นผู้หญิงคนแรกที่มีภาพขึ้นอยู่ในธนบัตรญี่ปุ่น ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อการป้องกันการพิมพ์แบงค์ปลอม



        นครศรีธรรมราชเป็นหัวเมืองใหญ่ทางภาคใต้และถือเป็นหัวเมืองเอกที่มีความสำคัญมาแต่สมัยโบราณ เจ้าเมืองมียศเป็นถึงเจ้าพระยา แต่ทราบหรือไม่ว่าครั้งหนึ่ง นครศรีธรรมราชเคยมีเจ้านครเป็นนักรบซามูไรจากญี่ปุ่น ซึ่งนามของซามูไร ผู้ที่โชคชะตาดลบันดาลให้เขาได้กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินอโยธยา ก็คือ ยามาดะ นากามาสะ ยามาดา นากามาสะเกิดที่เมืองโอวาริ ซึ่งปัจจุบันอยู๋ใกล้ ๆ กับ
นาโงย่า ยามาดะได้หนีออกจากบ้านและติดตามเรือสินค้าของพ่อค้าจากแคว้นซูรุกะที่เดินทางไปค้าขายยังไต้หวัน หลังเสร็จสิ้นการค้าแล้ว ยามาดะได้ติดตามเรือสินค้าลำดังกล่าวเดินทางมาเมืองไทย ขณะอยู่ในเมืองไทยยามาดะได้ประกอบอาชีพค้าขายจนร่ำรวยและต่อมาได้สมัครเข้าเป็นทหารอาสาญี่ปุ่นหลังจากนั้นได้เลือนตำแหน่งจนเป็นถึงออกญาเสนาภิมุขเจ้ากรมอาสาญี่ปุ่น ในระหว่างดำรงตำแหน่งนั้น ยามาดะยังทำหน้าที่เป็นคนกลางในการติดต่อค้าขายระหว่างไทยกับญี่ปุ่นด้วย ยามาดะอยู่ในยุคที่มีการเเก่งแย่งอำนาจโดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ยามาดะได้อยู่ฝ่ายพระเชษฐาธิราช ช่วยวางแผนและกำจัดฝ่ายตรงข้ามจนได้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองนคร แต่ถูกพระเจ้าปราสาททอง สั่งลับให้ออกพระมะริดน้องชายเจ้านครเก่า วางยาพิษสังหารเจ้านครชาวญี่ปุ่นผู้นี้เสีย ในที่สุดยามาดะหรือออกญาเสนาภิมุขก็เสียชีวิตลงด้วยยาพิษ จากนั้นออกพระมะริดจึงนำกำลังเข้ายึดเมืองนคร ทว่า ออกขุนเสนาภิมุข (โออิน) บุตรชายของยามาดะกลับสังหารออกพระมะริดและนำนักรบซามูไรเข้ายึดเมืองนครไว้ จากนั้นได้วางแผนยกทัพไปตีกรุงศรีอยุธยา ทางฝ่ายพระเจ้าปราสาททอง เมื่อทรงทราบเรื่องจึงให้กวาดล้างชาวญี่ปุ่นในกรุง ทำให้พวกทหารญี่ปุ่นในกรุงศรีอยุธญารวมกำลังกันตีฝ่าวงล้อมและไปสมทบกับ โออินที่นครศรีธรรมราชทางฝ่าย

โออิน ได้ปกครองเมืองนครอย่างกดขี่ ปล้นชิงผู้คนตามใจชอบ ทำให้ชาวเมืองก่อจลาจล นอกจากนี้ยังเกิดการขัดแย้งกันเองในหมู่ชาวญี่ปุ่น ทำให้ต้องเลิกล้มแผนตีกรุงศรีอยุธยา และในที่สุด เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ในเมืองนคร เริ่มเป็นอันตรายต่อพวกตน โออินจึงตัดสินใจนำชาวญี่ปุ่นฝ่ายเดียวกับตน หลบหนีไปยังกัมพูชา โดยได้อาสาเป็นแม่ทัพให้กับกษัตริย์กัมพูชา และได้เสียชีวิตในการรบกับกองทัพล้านช้างในเวลาต่อมา

ที่มา :

       เป็นไงเป็นไง อ่านแล้วรู้สึกยังไงกันบ้าง ครบรสครบเครื่องป่ะละ เจ้าของบล็อคชอบมากๆเลยค่ะ เพราะชอบความเป็นญี่ปุ่นอยู่เเล้ว พอมาเห็นนักรบที่ถือเอาศักดิ์ศรีเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าชีวิตตัวเองนี่ถือว่าเท่ห์มากๆเลยค่ะ บทความก็เขียนพอให้หายคิดถึงกันไปก่อนนะ แล้วเจอกันใหม่เมื่อชาติต้องการ :)


ข้อมูลอ้างอิง


1) http://samuir.blogspot.com/ : ประวัติซามูไร
2) http://www.thairath.co.th/content/390803 : ซามูไร
5) http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=185624&chapter=9 : ฮาราคีรีเซ็ปปุกุ



เรียบเรียงโดย : สุชานันท์ พวงมาลี

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2559

บทความที่ 2



       สวัสดีท่านผู้อ่านมิตรแฟนบล็อกทุกท่าน หวังว่าจะมีคนอ่านบ้าง เพราะพึ่งเปิดบล็อกมาได้ไม่กี่วัน และบทความนี้เราจะมาพูดถึง อาชีพในฝันของหนุ่มสาวในยุคนี้รวมถึงเจ้าของบล็อกด้วย นั้นก็คือ...“นักบิน” ทุกวันนี้ก็มีคนถามนะคะว่า อยากเป็นนักบิน ทำไม่ไปเรียนให้ตรงสายเลย ตัวเจ้าของบล็อกเคยอ่านเรื่องของรุ่นพี่นักบินคนหนึ่งค่ะ ว่าเค้าจบวิศวะและไปสอบเป็นนักบินเอง ซึ่งการจะเป็นนักบินนั้นในปัจจุบันจบปริญญาตรีจากสาขาไหนมาก็ได้ค่ะ ดังนั้นเจ้าของบล็อกจึงเลือกที่จะเรียนปริญญาตรีวิศวะก่อนค่ะ เพราะชอบเรื่องเครื่องยนต์กลไก และค่อยไปสอบเป็นนักบินหลังเรียนจบ เอาละนอกเรื่องกันมาเยอะแล้ว เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ วันนี้เจ้าของบล็อกจะมาแบ่งปัน นิยาม “การเป็นนักบิน” ให้คนที่มีฝันร่วมกันได้อ่านนะคะ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า

ประเทศไทยมีความมุ่งมั่นในเรื่องการพัฒนา เมื่อโลกเริ่มมีเครื่องบิน ไทยก็ได้พยายามให้ มีบ้าง ในปี พ.ศ. 2454 ได้มีผู้นำเอาเครื่องบินแบบ ออร์วิลล์ ไรท์ มาบินแสดงให้ประชาชนชม ที่สนามม้าสระปทุม (ปัจจุบันเป็นราชกรีฑาสโมสร) พลอากาศโทพระยาเฉลิมอากาศ ผู้ซึ่งได้รับการ ยกย่องว่าเป็นบรรพบุรุษของกองทัพอากาศ นักบินคนแรกของไทย ก็ได้ทดลองบินในการแสดงครั้งนี้ด้วย
เครื่องบินแบบเออร์วิลล์ ไรท์ บินแสดงครั้งแรกในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2454
ขอบคุณที่มาของภาพ : http://kanchanapisek.or.th/kp6/pictures1/l1-234a.jpg
เมื่อ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 กองทัพอากาศก็ได้สร้างเครื่องบินปีกชั้นเดียวขึ้นใช้เองอีกคำรบหนึ่ง
ทางด้านขนส่ง ไทยริเริ่มทดลองใช้เครื่องบินเบรเกต์ ส่งไปรษณีย์ภัณฑ์ เมื่อ พ.ศ. 2462 3 ปีต่อมา การบินรับส่งผู้โดยสารและพัสดุ ก็เริ่มขึ้น การสงครามเป็นอุปสรรคให้เกิดการขาดแคลน อุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ไประยะหนึ่ง แต่แล้วกระทรวงคมนาคมก็ได้ลงทุนจัดตั้งบริษัทเดินอากาศไทยขึ้น เพื่อบริการประชาชนในการขนส่งทางอากาศทั่วประเทศ โดยใช้เครื่องบินไอพ่น สองเครื่องยนต์ แบบแอฟโร 748 (avro 748) ต่อมาได้นำเครื่องบินที่มีสมรรถนะสูงขึ้นเข้ามาใช้ เช่นเครื่องบินแบบโบอิง ๗๓๗ (boeing 737) และเครื่องบินสำหรับบริการผู้โดยสารตามเส้นทางย่อย (shorts 330) ส่วนการบินระหว่างประเทศนั้น ขณะนี้บริษัทการบินไทย จำกัด มีเครื่องบินไอพ่น สี่เครื่องยนต์ บริการไปประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งในทวีปเอเซีย ออสเตรเลีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ
เครื่องบินโดยสารพลเรือน ของบริษัทการบินไทย จำกัด
ขอบคุณที่มาของภาพ : http://kanchanapisek.or.th/kp6/pictures1/l1-237b.jpg

ขอบคุณที่มาของภาพ : http://www.rmutphysics.com/charud/video/1/flight/1.jpg 
เมื่อ 70-80 ปีก่อนไม่มีใครไม่รู้จักชื่อ นายเลื่อน พงษ์โสภณ ผู้มีฉายาว่า เลื่อนกระดูกเหล็ก”  นายเลื่อนเป็นคนเกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 ส่วนฉายา เลื่อนกระดูกเหล็กก็เพราะเป็นนักบิดมอเตอร์ไซค์ชั้นแนวหน้าของยุค มีการประลองความเร็วกันเมื่อใด นายเลื่อนจะนำฮาร์เลย์เดวิดสันคู่ชีพลงชิงชัยด้วยทุกที และชนะทุกครั้งจนถ้วยเต็มบ้าน เพราะบิดอย่างไม่กลัวเจ็บกลัวตาย แต่นายเลื่อนไปเรียนโรงเรียนนายร้อยทหารบก เมื่อสงครามสงบ ทางราชการให้ทหารอาสาที่สนใจเครื่องยนต์เรียนต่อที่ฝรั่งเศสได้ นายเลื่อน ฉวยโอกาสนี้ และสอบคัดเลือกได้เป็นอันดับ 1  เข้าเรียนจนจบหลักสูตร นายเลื่อนได้รับพระราชทานทุนส่วนพระองค์  รัชกาลที่ 7   ให้ไปเรียนวิชาการบินที่โรงเรียนเซนต์หลุยส์ สหรัฐอเมริกา เป็นเวลา 3 ปี มื่อนายเลื่อนกลับมา ไทยเรามีกรมอากาศยานแล้ว ในสังกัดกองทัพบก และซื่อเครื่องบินจากฝรั่งเศสมา 8 เครื่อง พร้อมส่งนักบินไปฝึกกับบริษัทผู้จำหน่ายมาครบจำนวน อีกทั้งนายเลื่อนไม่ได้รับความเชื่อถือ จึงหางานนักบินทำไม่ได้ ด้วยเหตุนี้นายเลื่อนจึงหาทางโชว์ฝีมือให้ประจักษ์สักครั้ง   นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ     ขอนำนางสาวสยามบินเบิกฟ้าจากสยามไปฮ่องกง อกจากสนามบินดอนเมือง วันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2475แวะไปตลอดทางตั้งแต่นครราชสีมาเป็นครั้งแรก ผ่านเวียดนาม จีน ถึงฮ่องกงในวันที่ 23 มิถุนายน ค้าง 3 คืนแล้วบินกลับในเส้นทางเดิม กลับมาถึงดอนเมืองในวันที่ 3 กรกฎาคม ความสำเร็จของนายเลื่อน ทำให้ชื่อเสียงของประเทศไทยฟุ้งกระจายไปในนานาประเทศ แม้จะเป็นเพียงประเทศเล็กๆ ยังไม่มีแม้แต่กองทัพอากาศ แต่นักบินพลเรือนคนหนึ่งก็อาจหาญบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปอย่างโดยเดี่ยว จนประสบความสำเร็จจึงถือได้ว่า นางสาวสยามเป็นเครื่องบินพลเรือนลำแรกของไทย และนายเลื่อน พงษ์โสภณ ก็เป็นนักบินพลเรือนคนแรกของไทยด้วยต่อมานายเลื่อนเข้าทำงานกับบริษัท เดินอากาศ จำกัด   ไปเป็นนายสนามบินโคราช จนได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. โคราช 4 สมัย เป็นรัฐมนตรี ลอยและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมถึง 6 รัฐบาล และได้รับพระราชทานยศเป็น นาวาอากาศเอก.
เครื่องบินพลเรือนลำแรกของไทย “นางสาวสยาม
ขอบคุณที่มาของภาพ : http://haab.catholic.or.th/PhotoGallery/photos/frist5/1OEOCEAOA.jpg



ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ได้แก่ผู้ขับเครื่องบิน ผู้ควบคุมการบิน ในระหว่างทำการบินรวมถึงการขับเครื่องบินที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสาร ไปรษณีย์ภัณฑ์หรือสินค้า การขับเครื่องบินเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ เช่นทดสอบ ส่งมอบ ฉีดยาฆ่าแมลงหรือยาป้องกันแมลง สำรวจทางอากาศ ถ่ายภาพทางอากาศ และสอนนักบินฝึกหัดการควบคุมเส้นทางบินของการบิน การดูแลเครื่องบินระหว่างทำการบิน และให้คำแนะนำ นักบินอื่นๆ เกี่ยวกับการบินและเส้นทางการบิน

เป้าหมายของงาน / โจทย์ใหญ่ของงาน /ความท้าทายของงาน

อาชีพนักบิน เป็นอาชีพพิเศษแตกต่างจากอาชีพอื่นคือ การใช้กระบวนการคิดและทักษะทำงานภายใต้ภาวะความกดดันทั้งเรื่องเวลา ความเสี่ยง และสภาพแวดล้อมที่ทำงานอยู่บนอากาศ รวมถึงความปลอดภัยต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะหากมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น นักบินจะต้องมีทักษะและวิธีการแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องรวดเร็วและปลอดภัย เป้าหมายของงานคือการนำส่งผู้โดยสารให้ถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย โดยต้องคำนึงถึงชีวิตของผู้โดยสารเป็นอันดับแรก  หากเกิดปัญหาขึ้น ต้องรู้จักแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ อย่างกรณีที่เกิดปัญหาทางด้านสภาพภูมิอากาศไม่สามารถลงจอดได้เราต้องนำเครื่องขึ้นใหม่ แล้วบินวนรอจนกว่าสภาพอากาศจะดีพอให้ลงจอดอีกครั้ง เคยเจอกรณีมีผู้โดยสารป่วยในระหว่างการบิน ซึ่งต้องการความช่วยเหลือของแพทย์อย่างเร่งด่วน เราอาจจะรีบลงกลางทาง เพื่อให้ผู้โดยสารที่ป่วยได้รับการรักษาอย่างเร็วที่สุด

Work process

1.กำหนดตารางการบินในแต่ละเดือนว่าเราจะบินที่ไหนบ้าง เวลาใดบ้าง
2.ตรวจสภาพเครื่อง ทั้งภายนอกและภายในของเครื่องบิน ว่าพร้อมที่จะบินหรือไม่
3.เตรียมพร้อมที่จะบินรวมทั้งเริ่มติดต่อกับหน่วยควบคุมการบินทั้งในและต่างประเทศ
4.บินตามแผนการเดินทางที่เราได้วางไว้จนถึงจุดหมายปลายทาง
5.ขับเครื่องบินที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสาร ไปรษณีย์ภัณฑ์ หรือสินค้า                               
6.ควบคุมอากาศยานให้อยู่ในเส้นทาง ซึ่งทำการบินประจำ หรือในเที่ยวบินเช่าเหมา                              
7.สังเกตเครื่องวัดมิเตอร์ และเครื่องวัดประกอบการบินอื่นๆ ที่ใช้ควบคุมอากาศยาน                              
8.ตรวจความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเครื่องยนต์ ใช้เครื่องช่วยในการเดินอากาศสำหรับควบคุมเส้นทางบินของอากาศยาน    
อาจเป็นผู้ควบคุมอากาศยาน และรับผิดชอบในลูกเรือทั้งหมด หรือเป็นนักบินผู้ช่วย และอาจทำการบินภายใต้การควบคุมของผู้ควบคุมอากาศยาน                                                                                                    
แล้วแต่ว่าเราต้องออกเดินทางกี่โมง มีระยะทางในการบินเท่าไรใช้เวลากี่ชั่วโมง ถ้าเป็นระยะทางที่ไกลต้องใช้เวลานาน ก็จะมีการผลัดเปลี่ยนเวรกันไปพัก เมื่อถึงที่หมายแล้วก็จะได้ไปพักหรือเที่ยวบ้าง ก็จะแล้วแต่คน ส่วนใหญ่จะได้พักหนึ่งคืนที่ประเทศนั้นๆแล้วจึงบินกลับ

ขอบคุณที่มาของภาพ : http://newsthump.com/wp-content/uploads/2014/08/women-pilots.jpg

เนื่องจากนักบินเป็นผู้ขับเครื่องบินให้ไปสู่จุดหมายปลายทางของผู้โดยสารหรือสินค้าที่อยู่ในเครื่องบินซึ่งจะไปถึงที่หมายปลายทางได้หรือไม่นั้น นักบินจะต้องเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ฉะนั้น ผู้ประกอบอาชีพด้านนี้ จึงควรมีคุณสมบัติ ดังนี้
1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี
2. ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้ดี ควรมีความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ดีพอสมควร เพื่อใช้ในการศึกษา และใช้ในการปฏิบัติงาน
3. รูปร่าง บุคลิกดี มีความสูงไม่น้อยกว่า 165 ซ.ม. มีมนุษยสัมพันธ์ดี มีปฏิภาณไหวพริบดี มีสำนึกในความปลอดภัย และมีความสามารถเป็นทั้งผู้นำและผู้ตาม
4. มีความรับผิดชอบต่อตนเอง และผู้อื่นสูง มีความกล้าหาญ และมีความสามารถในการตัดสินใจและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างถูกต้อง และรวดเร็ว
5. มีความมั่นใจในตนเอง ละเอียดรอบคอบ มีความจำดี ช่างสังเกต
6. สายตาสั้นไม่เกินมาตรฐานที่กำหนด และต้องไม่ตาบอดสี
7. ในการสอบสัมภาษณ์มีทั้งการสอบภาษาไทย และสอบเชาว์ปัญญา ( Aptitude Test) และอาจมีการสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษโดยผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ผู้สมัครควรมีความรู้ภาษาอังกฤษดี และมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ด้วย
8. ในการขับเครื่องบิน ต้องได้รับใบอนุญาตการบิน ( Pilot License) รวมทั้งต้องผ่านการตรวจ ร่างกาย และทดสอบทางจิตเวชจากสถาบันเวชศาสตร์การบิน
ผู้ประกอบอาชีพนี้นอกจากจะมีคุณสมบัติ ดังที่กล่าวมาแล้ว ควรเตรียมตัวเพื่อเข้าเรียน หลังจากผ่านการสอบคัดเลือกตำแหน่งตามเงื่อนไข คือจะถูกส่งเข้าศึกษาต่อหลักสูตรการบิน ในโรงเรียนการบินต่างๆ เช่น วิทยาลัยการบินนานาชาติ มหาวิทยาลัยนครพนม เมื่อเริ่มต้นเรียนการบิน จะฝึกบินกันที่สนามบินนครพนม เนื่องจากเป็นสนามบินที่มีการจราจรทางอากาศไม่คับคั่ง สภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศ เหมาะสำหรับการฝึกบิน โดยมีหลักสูตรดังนี้
1.หลักสูตรนักบินพาณิชย์ตรี - เครื่องบิน (Commercial Pilot Licence - Aeroplane)
ใช้เวลาในการศึกษาประมาณ 58 สัปดาห์ ทำการฝึกอบรมให้ศิษย์การบินมีความรู้ความสามารถในการบินกับเครื่องบินจนเข้ามาตรฐานได้รับใบอนุญาตนักบินพาณิชย์ตรี ตามที่กรมการบินพลเรือนกำหนดไว้ ศิษย์การบินที่สำเร็จการศึกษาในหลักสูตรนี้ จะได้รับใบประกาศนียบัตรนักบินพาณิชย์ตรี จากนั้นจึงทำการสอบขอใบอนุญาต " นักบินพาณิชย์ตรี" พร้อมวุฒิการบินด้วยเครื่องวัดประกอบการบิน และเครื่องบินหลายเครื่องยนต์จากกรมกรมการบินพลเรือน

2.หลักสูตรวิชานักบินส่วนบุคคล ( Private Pilot Licence)

3. หลักสูตรเพิ่มศักย์การบินต่างๆ ได้แก่
3.1 หลักสูตรการบินหลายเครื่องยนต์(Multi Engine Rating)
3.2 หลักสูตรการบินด้วยเครื่องวัดประกอบการบิน (Instrument Rating)
3.3 หลักสูตรครูการบิน (Flight Instructor Rating)
3.4 Multi Crew Cooperation (MCC) and Jet Orientation Training (JOT)
เนื่องจากวิทยาลัยการบินนานาชาติ เป็นโรงเรียนการบินของรัฐบาล 100 % ค่าใช้จ่ายในการเรียนจึงต่ำกว่าโรงเรียนการบินอื่นๆ อีกทั้งยังมีบริการที่พัก อาหาร บริการรถรับ - ส่ง และเอกสารตำราเรียนที่เป็นลิขสิทธิ์แท้ ไว้สำหรับบริการศิษย์การบินของวิทยาลัยการบินนานาชาติทุกคน


อาชีพนักบินสามารถรับราชการเป็นนักบินของหน่วยราชการต่างๆ เช่น กองบินสำนักงานตำรวจ แห่งชาติ สำนักฝนหลวง และการบินเกษตร หรือสายการบินเอกชนต่างๆ เช่น บริษัทการบินไทย บริษัทบางกอกแอร์เวย์ ซึ่งยังมีความต้องการพนักงานในตำแหน่งนี้ยังมีมากแต่การคัดเลือกบุคลากรที่เหมาะสม รวมทั้งการสอน และอบรมในการบินสามารถรับได้ครั้งไม่มากจึงจัดว่าเป็นอาชีพที่ขาดแคลน
สถาบันที่จะฝึกนักบินในประเทศไทยนั้นมีจำนวนน้อยมาก และส่วนใหญ่จะฝึกให้หน่วยงานราชการ เพื่อใช้ในหน่วยงานของตนเอง แต่ถ้าหน่วยงานใดองค์การใดที่ต้องการนักบิน และไม่สามารถที่จะฝึกอบรมด้วยตนเองได้ก็จะส่งบุคคลในหน่วยงานของตนนั้นมาทำการฝึกอบรมการบินที่โรงเรียนการบินต่างๆในประเทศไทย ฉะนั้นผู้ที่จบการศึกษาแล้ว ส่วนใหญ่จึงกลับเข้าทำงานในหน่วยงานเดิมของตนที่ส่งมาฝึกอบรม แต่ถ้าเป็นศิษย์การบินที่เรียนโดยทุนส่วนตัว เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วก็จะทำงานเป็นนักบินในบริษัทสายการบินต่างๆ ซึ่งจะได้รับเงินเดือนสูงมากผู้ที่ประกอบอาชีพนักบินมักจะเป็นชาย ในปัจจุบันประเทศไทยมีนักบินอาชีพที่เป็น ผู้หญิงทำงานในบริษัท บางกอกแอร์เวย์ แอร์เอเชียและบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย แต่สำหรับบริษัทการบินไทย ยังไม่มีนักบินอาชีพที่เป็นผู้หญิง
ผู้ที่ประกอบอาชีพนักบินสามารถเข้าสมัครงานในภาคราชการหรือภาคเอกชนที่ประกาศรับสมัครโดยต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ และเมื่อผ่านการคัดเลือกแล้วจะต้องเข้ารับการอบรมการบินตามโรงเรียนการบินในประเทศไทย ตามที่หน่วยงานของตนจะกำหนด โดยเมื่อจบการอบรมก็จะได้รับบรรจุเข้าเป็นนักบินประจำหน่วยงานนั้น
ยกเว้นนักบินของกองทัพอากาศ ซึ่งจะต้องเรียนโรงเรียนนายเรืออากาศและสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนการบินของกองทัพอากาศซึ่งจะมีหลักสูตรการบินที่เกี่ยวกับการทหารไม่ใช่การบินเชิงพาณิชย์สำหรับนักบินทั่วไป เมื่อจบหลักสูตรจึงจะได้บรรจุเป็นทหารสัญญาบัตรเหล่านักบิน และได้รับการบรรจุเข้าประจำฝูงบินต่างๆ หรือบรรจุเข้ารับราชการตามกรมกองต่างๆ

ขอบคุณที่มาของภาพ :

สถานที่ทำงาน
พี่เชื่อว่าห้องทำงานของพี่ น่าจะเป็นหนึ่งในห้องทำงานที่เล็กที่สุด ที่จะต้องใช้ชีวิตในนั้นตลอดเวลาการทำงาน เรียกได้ว่าทุกๆเหตุการณ์และอารมณ์ที่เกิดขึ้น จะอยู่ภายในห้องทำงานนี้ทั้งหมด ซึ่งจะประกอบไปด้วยที่นั่งนักบินซ้ายและขวา และมีที่นั่งสำรองอีกสองที่ด้านหลัง ส่วนด้านหน้าของเครื่องบินจะมีหน้าปัดหรือ Monitor และปุ่มควบคุมต่างๆของเครื่องบิน ปุ่มบังคับอัตโนมัติต่างๆจะอยู่ด้านหน้าทั้งหมดรวมถึงระบบต่างๆของเครื่องบินอีกด้วย
สภาพการทำงาน
เนื่องจากเราผ่านการฝึกมาอย่างดี ในเรื่องของระบบควบคุมการบินต่างๆ และเรื่องการมีสติในการทำงานจึงไม่ตื่นเต้นหรือกดดัน แต่เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับปัญหาเฉพาะหน้าที่เราไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราจะมีระบบรุ่นพี่รุ่นน้องและการเคารพกันค่อนข้างมาก เพราะมีการเรียนและทดสอบทางด้านการบินมาด้วยกัน  และต้องมีการเวียนทำงานกับนักบินหลายๆคน แล้วแต่ว่าเรามีคิวที่ต้องทำงานคู่กับใคร จึงต้องเป็นคนที่ทำงานร่วมกับทุกคนได้
ประเภทของลูกค้า
ลูกค้าจะคือทุกคนที่ต้องการเดินทางในการโดยสารเครื่องบินไปยังที่ต่างๆ ซึ่งจะสามารถแบ่งระดับชั้นความสะดวกสบายที่แตกต่างกัน โดยทั่วไป สายการบินจะมี การจัดชั้นที่นั่งบนเครื่องบินออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้
         1.ชั้นหนึ่ง (First class) เป็นชั้นที่มีบริการพิเศษสุด มีที่นั่งกว้างมากและสามารถปรับเอนได้ที่นั่งส่วนใหญ่อยู่หลังห้องนักบิน เป็นเพราะพื้นที่บริเวณนี้ค่อนข้างกว้างและเป็นส่วนตัว ไม่มีผู้โดยสารชั้นอื่น เดินผ่าน ที่นั่งส่วนนี้ จึงสะดวกสบาย เงียบ และไม่พลุกพล่าน มีอาหารชนิดพิเศษ เหล้า ไวน์ นอกจากนั้นยังมีสิ่งบันเทิงอีกมากมายให้บริการ อีกทั้งสามารถนำสัมภาระติดตัวได้มาก โดยลูกค้าในชั้นนี้จะเป็นระดับ ผู้บริหารชั้นสูง ไฮโซ นักการเมือง หรือ ผู้ที่มีฐานะทางการเงินที่ดีเพราะค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
       2.ชั้นธุรกิจ (Business class) เป็นชั้นที่มีการบริการพิเศษรองลงมาจากชั้นหนึ่ง มีอาหารพิเศษรองจากชั้นหนึ่ง และอีกหลากหลายอย่างที่รองจากชั้นหนึ่ง แต่มีเครื่องดื่มคล้ายยกับชั้นหนึ่งที่นั่งชั้นธุรกิจ โดยทั่วไปอยู่ต่อจากที่นั่งชั้นหนึ่ง และอยู่ด้านหน้าของที่นั่งชั้นประหยัด อีกทั้งสามารถนำสัมภาระติดตัวได้มาก
       3.ชั้นประหยัด (Economy class) เป็นชั้นที่ผู้โดยสารส่วนใหญ่นิยมใช้บริการกันที่นั่งชั้นประหยัด โดยทั่วไปเริ่มตั้งแต่ส่วนกลางของเครื่องบิน (ส่วนปีก) จนถึงส่วนท้าย (หางเครื่องบิน) จำนวนที่นั่งมีมากที่สุด ตัวเก้าอี้นั่งไม่สามารถจะปรับนอนราบได้ มีบริการอาหารและเครื่องดื่มธรรมดาฟรี ซึ่งลูกค้าในชั้นนี้จะเป็นระดับคนธรรมดาที่มีรายได้ปานกลางจนถึงน้อย 

ขอบคุณที่มาของภาพ : https://pbs.twimg.com/media/CR0LpL9VAAAwlhn.jpg

อาชีพนักบินจำเป็นต้องมีทั้งความเป็นผู้นำและต้องรู้จักการทำงานเป็นทีมร่วมกับคนอื่นเพราะเครื่องบินโดยสารหนึ่งลำ มีผู้ร่วมงานที่เป็นนักบินด้วยกัน พนักงานต้อนรับบนเครื่องรวมทั้งเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องที่จะช่วยให้ภารกิจ การบินนั้นสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี นักบินจึงควรมีบุคลิกภาพที่ต้องมีความรู้จริงในอาชีพ มีทักษะการติดต่อสื่อสารดีเยี่ยม รู้จักฟังผู้อื่นหรือเป็นผู้ฟังที่ดียอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น มีความขยันหมั่นเพียร มีความกระตือรือร้นมีภาพลักษณ์ที่ดี ตรงต่อเวลา มีความอดทน รวมถึงต้องรู้จักอ่อนตัวที่จะปรับตัวเข้ากับทุกสถานการณ์รู้จักแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบอย่างเด็ดขาดเพื่อให้การทำงานร่วมกับเพื่ออื่นสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี


ผลตอบแทน
อาชีพนักบินเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่มีความน่าสนใจมาก เพราะในปัจจุบันด้านการบินกำลังเคลื่อนตัวไปได้ดีและก็มีการแข่งขันกันสูงขึ้น เรื่องเงินเดือนจะค่อนข้างสูงเพราะต้องมีความเสี่ยงเรื่องของการรักษาชีวิตผู้โดยสาร  ตอนนี้พี่เป็นกัปตัน มีรายได้ตกประมาณเดือนละ  300,000 บาท การทำงานของนักบินหรือพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน รวมไปจนถึงผู้ที่ทำงานในวงการการบิน เช่น เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ ช่างซ่อมบำรุง วิศวกร ต่างๆนั้น จริงๆที่พวกเขาได้ค่าตอบแทนที่สูงนั้น เพราะต้องทำงานที่เสี่ยงภัยตลอดเวลาต้องทำงานให้มีโอกาสผิดพลาดน้อยที่สุดหรือจนแทบจะไม่ให้เกิดขึ้นได้เลย ดังนั้นก็ต้องเผชิญกับความเครียดและความกดดันอยู่ตลอดเวลาและต้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงเพื่อพร้อมทำงานอยู่ตลอดเวลา
บิน 10 ปีก็มีเงินเก็บ 25 ล้านได้สบายๆ
นี่เป็นเรื่องจริงในวงการนักบินที่ผลตอบแทนแสนจะมหาศาล โดยนักบินจะมีทั้งเงินเดือน ค่าเบี้ยเลี้ยง ไปจนถึงสวัสดิการสุดฟินและสายการบินชั้นนำอย่างเอทิฮัดก็จ่ายหนักถึง 480,000 บาทต่อเดือน และยิ่งใครมีใบอนุญาติครูสอนนักบินก็เอาเพิ่มไปอีก 40,000 ชิลๆในขณะที่ทางการบินไทย กัปตันจะมีรายได้ราว 280,000 ต่อเดือน
ส่วนในระบบของการบินไทยนั้น
นักบินใหม่จะได้เงิน 60,000+30,000 ค่าเบี้ยเลี้ยง ในขณะที่โคไพลอตจะมีเพดานสูงขึ้นมาที่ 160,000-180,000 บาท อย่างไรก็ตามเงินตรงจุดนี้ก็สู้สายการบินเอทิฮัดไม่ได้เพราะที่นั่นเค้าจ่ายหนักถึง 280,000 มากกว่าของไทยอีกเท่าตัวและนี่ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้วงการนักบินไทยเริ่มสั่นคลอน เพราะใครๆก็อยากได้เงินเยอะ
การปรับเงินเดือน
หากใครติดตามข่าวช่วงก่อนจะทราบว่ามีนักบินจำนวนมากลาออก และนั่นทำให้ทางการบินไทยพยายามปรับตัวตามเพื่อยื้อบุคลากรคุณภาพเอาไว้ด้วยการปรับเงินเดือน โดยกัปตันอัพขึ้น 60,000 บาท ซีเนียร์โคไพลอต 45,000 บาทและจูเนียร์โคไพลอต 30,000 บาท แต่อย่างไรก็ยังยากจะรั้งนักบินไทยฝีมือเก๋าไว้ได้ เพราะเอทิฮัดจงใจสู้ศึกยื้อแย่งนักบินจากทั่วโลกโดยการจ่ายเงินแบบหนักมาก


อาชีพนักบิน ต้องผ่านการทดสอบหลายขั้นตอนกว่าจะก้าวมาเป็นนักบินได้ เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ว่าคุณสามารถทำหน้าที่นี้ได้จริงๆ และต้องทำได้อย่างดีด้วย เพราะชีวิตของผู้โดยสารทุกคนอยู่ในความดูแลของคุณตลอดการเดินทาง ทุกคนบนเครื่องบินมีเหตุผลในการเดินทางที่ต่างกัน แต่มีคุณค่าและความหมายของตัวเอง หลายคนออกเดินทางเพื่อตามหาความฝัน  ไปเพื่อพบกับความสุข หรือจัดการเรื่องที่รุงรังในชีวิตในตอนนี้ ไม่ว่าจะคืออะไรเราต้องทำให้พวกเขาไปให้ถึงโดยปลอดภัยให้ได้ และนี่คือคุณค่าของการเป็นอาชีพนักบิน   


เครื่องมือที่สำคัญของนักบินก็คือเครื่องบิน ซึ่งการขับเครื่องบินไม่ยากไปกว่าการขับยานพาหนะอื่นๆ เมื่อเครื่องยนต์เดินเรียบร้อยแล้ว นักบินจะวิทยุไปที่หอบังคับการบินเพื่อขออนุญาตขับเครื่องบินไปตั้งตัวที่ปลายทางวิ่ง ณ ที่นี้ นักบินจะตรวจสอบทดลองการทำงานของชิ้นส่วน เครื่องวัด และอุปกรณ์จำเป็นทุกรายการที่เขียนไว้ ในคู่มือของเครื่องบิน แบบนั้นๆ เมื่อหอบังคับการบินพูดวิทยุอนุมัติให้ขึ้นบินได้ นักบินจะเริ่มเร่ง เครื่องยนต์ให้เครื่องบินเคลื่อนที่ออกวิ่งทวนลม นักบินต้องใช้มือและเท้าแตะไว้ที่คันบังคับ คอย เลี้ยงเครื่องอย่างเบาๆ ให้เครื่องวิ่งตรงอยู่ในทาง ไม่เซไปเซมา เครื่องจะค่อยๆ เร็วขึ้น เร็วขึ้น จนกำลังยกมากกว่าน้ำหนักเมื่อใด เครื่องบินก็จะลอยตัวขึ้นสู่อากาศ ณ ระยะสูงที่ปลอดภัย นักบินจะเบาเครื่องเครื่องยนต์ลงตามเกณฑ์ในคู่มือ พับฐานเก็บล้อเพื่อให้แรงต้านทานน้อยลงแล้วจะ ได้รับความเร็วเพิ่มขึ้นเองอีกด้วย ซึ่งทักษะในการขับเครื่องบิน ที่เราได้รับการฝึกอบรมมา เราควรจะต้องแม่นยำในเรื่องของระบบต่างๆภายในเครื่องบินเป็นอย่างดีเพื่อให้การออกบินในแต่ละครั้งดำเนินไปอย่างราบรื่น
การวัดบุคลิกภาพ สามารถวัดได้ 7 ประการ
1. ทางกาย เช่น รูปร่าง หน้าตา การแต่งกาย
2. อารมณ์ เช่น การแสดงออก สดชื่น อารมณ์ขัน ร่าเริง หงุดหงิดง่าย
3. สติปัญญา เช่น ความจำ สังเกต ขีดความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสนใจ/ค่านิยม เช่น งานอดิเรก สิ่งที่นิยม ศรัทธา เลื่อมใส
5. เจตคติ (Attitude) เช่น ความรู้สึกต่อสังคม บุคคลใดบุคคลหนึ่ง เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทางที่ดี/ไม่ดี
6. แรงจูงใจ เช่น อยากทำอะไรมาก ร่วมกับผู้อื่น
7. สังคม เช่น มนุษย์สัมพันธ์
ทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อการเป็น นักบินพานิชย์
1. ต่อต้านกฎและระเบียบ (Anit-authority) มีทัศนคติที่เห็นว่ากฎและระเบียบต่าง ๆ ไม่มีความสำคัญและไม่ควรยึดถือ
2. ไม่มีความรอบคอบ (Impulsivity) ปฏิบัติต่อสิ่งต่าง ๆ โดยทันทีตามสิ่งแรกที่นึกได้โดยไม่ตริตรองหาแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด
3. ชอบเสี่ยง (Invulnerability) มีทัศนคติที่ชอบเสี่ยงที่เพิ่มอัตราความเสี่ยงโดยมีความคิดว่าอุบัติเหตุจะไม่เกิดขึ้นกับตัวเรา
4. ชอบแสดงออก (Macho) มีทัศนคติที่ชอบแสดงออกออกว่าเหนือกว่าผู้อื่นและทำบางสิ่งที่เสี่ยงเพื่อแสดงว่าเหนือกว่าผู้อื่น
5. ไม่รับรู้และรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่กระทำ (Resignation) มีทัศนคติที่ว่าสิ่งต่าง ๆ ที่กระทำไปไม่เกิดผลในทางบวกหรือลบอย่างมากมายทั้งต่อตนเองหรือผู้อื่น สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดเป็นเพียงความโชคดีหรือโชคร้าย ซึ่งทัศนคตินี้จะมีผลให้เราไม่รับผิดชอบต่อสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าดีหรือร้าย
แนวความคิดเพิ่มเติม
1. Keep calm อย่าแพ้ภัยตนเอง ข้อสอบมิได้ต้องการให้ผู้ที่ทำได้มากที่สุด (แต่ผิดเยอะ) การทำข้อสอบคือการสะท้อนการบินคือต้องมีความแน่ใจและถูกต้อง ห้ามเดา ไม่มีใครที่ทำข้อสอบได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นจงทำเท่าที่เราทำได้และแน่ใจเท่านั้น
2. ไม่มีการเตรียมการใดดีเท่ากับการทำให้สมองแจ่มใสที่สุด หัดคิดเลข ทำตัวอย่างบ้าง หรือแนวข้อสอบที่ทำขึ้นเองบ้าง ทั้งหมดเพื่อให้สมองได้คิดมีความหลักแหลมขึ้น (เคาะสนิมออก) แต่อย่าคาดหวังว่าจะต้องเจอตามโผ (แต่ได้ก็ดี) และตามที่กล่าวคือทำสมองให้ clear (ซึ่งหมายถึงพยายามงดเหล้าหรือสิ่งต่าง ๆ ที่จะทำให้สมองมึนงง)
3. ความต้องการ
3.1 Good discipline (ต้องแสดงให้เห็น เช่นถ้าถูกสอบถามว่าลูกหรือลูกน้องทำผิดจะทำอย่างไร
ก็ต้องบอกว่าต้องมีการลงโทษ (good discipline !) (แต่จะลงโทษด้วยวิธีใดนั้นอีกเรื่องหนึ่งอย่า sadist มากนักจะกลายเป็น abnormal ไป)
3.2 มีความอดทน (Guard ไม่ตก) ขยัน และพร้อมรับรู้สิ่งใหม่ ๆ
3.3 เข้ากับคนได้ดี

คาดว่าพอพูดอ่าน อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คงจะทำให้มีเเรงฮึดสู้อ่านหนังสือเตรียมตัวสอบมากขึ้นนะคะ อันไหนที่ยังเป็นข้อบกพร่องก็ทำการแก้ไขโดยด่วนนะคะ นี้เป็นเพียงเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยเกี่ยวกับการเป็นนักบินนะคะ ยังไงซะก็ขอให้คนที่มีฝันเดียวกันกับเจ้าของบล็อกประสบความสำเร็จสมหวังกันทุกคนค่ะ

ข้อมูลอ้างอิง
2) http://www.a-chieve.org/information/detail/10134 : แนะนำอาชีพ
3) http://www.meekhao.com/news/pilot-salary : หมีขาว มีข่าว
4) http://www.crewsociety.com/1203 : สังคมคนชอบบิน
5) http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=1&chap=8&page=t1-8-infodetail07.html : สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนโดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
6) http://haab.catholic.or.th/PhotoGallery/photos/frist5/frist5.html : หอจดหมายเหตุอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

ข้อมูลจากหนังสือ
1) A pilot ตีพิมพ์ครั้งที่ 2 เขียนโดย Capt.Sopon P.
2) เตรียมตัวเป้นนักบิน เขียนโดย ภูธนภัส รุ่น AP-88 สถาบันกรบินพลเรือน

เรียบเรียงโดย : สุชานันท์  พวงมาลี