วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2559

บทความที่ 2



       สวัสดีท่านผู้อ่านมิตรแฟนบล็อกทุกท่าน หวังว่าจะมีคนอ่านบ้าง เพราะพึ่งเปิดบล็อกมาได้ไม่กี่วัน และบทความนี้เราจะมาพูดถึง อาชีพในฝันของหนุ่มสาวในยุคนี้รวมถึงเจ้าของบล็อกด้วย นั้นก็คือ...“นักบิน” ทุกวันนี้ก็มีคนถามนะคะว่า อยากเป็นนักบิน ทำไม่ไปเรียนให้ตรงสายเลย ตัวเจ้าของบล็อกเคยอ่านเรื่องของรุ่นพี่นักบินคนหนึ่งค่ะ ว่าเค้าจบวิศวะและไปสอบเป็นนักบินเอง ซึ่งการจะเป็นนักบินนั้นในปัจจุบันจบปริญญาตรีจากสาขาไหนมาก็ได้ค่ะ ดังนั้นเจ้าของบล็อกจึงเลือกที่จะเรียนปริญญาตรีวิศวะก่อนค่ะ เพราะชอบเรื่องเครื่องยนต์กลไก และค่อยไปสอบเป็นนักบินหลังเรียนจบ เอาละนอกเรื่องกันมาเยอะแล้ว เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ วันนี้เจ้าของบล็อกจะมาแบ่งปัน นิยาม “การเป็นนักบิน” ให้คนที่มีฝันร่วมกันได้อ่านนะคะ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า

ประเทศไทยมีความมุ่งมั่นในเรื่องการพัฒนา เมื่อโลกเริ่มมีเครื่องบิน ไทยก็ได้พยายามให้ มีบ้าง ในปี พ.ศ. 2454 ได้มีผู้นำเอาเครื่องบินแบบ ออร์วิลล์ ไรท์ มาบินแสดงให้ประชาชนชม ที่สนามม้าสระปทุม (ปัจจุบันเป็นราชกรีฑาสโมสร) พลอากาศโทพระยาเฉลิมอากาศ ผู้ซึ่งได้รับการ ยกย่องว่าเป็นบรรพบุรุษของกองทัพอากาศ นักบินคนแรกของไทย ก็ได้ทดลองบินในการแสดงครั้งนี้ด้วย
เครื่องบินแบบเออร์วิลล์ ไรท์ บินแสดงครั้งแรกในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2454
ขอบคุณที่มาของภาพ : http://kanchanapisek.or.th/kp6/pictures1/l1-234a.jpg
เมื่อ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 กองทัพอากาศก็ได้สร้างเครื่องบินปีกชั้นเดียวขึ้นใช้เองอีกคำรบหนึ่ง
ทางด้านขนส่ง ไทยริเริ่มทดลองใช้เครื่องบินเบรเกต์ ส่งไปรษณีย์ภัณฑ์ เมื่อ พ.ศ. 2462 3 ปีต่อมา การบินรับส่งผู้โดยสารและพัสดุ ก็เริ่มขึ้น การสงครามเป็นอุปสรรคให้เกิดการขาดแคลน อุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ไประยะหนึ่ง แต่แล้วกระทรวงคมนาคมก็ได้ลงทุนจัดตั้งบริษัทเดินอากาศไทยขึ้น เพื่อบริการประชาชนในการขนส่งทางอากาศทั่วประเทศ โดยใช้เครื่องบินไอพ่น สองเครื่องยนต์ แบบแอฟโร 748 (avro 748) ต่อมาได้นำเครื่องบินที่มีสมรรถนะสูงขึ้นเข้ามาใช้ เช่นเครื่องบินแบบโบอิง ๗๓๗ (boeing 737) และเครื่องบินสำหรับบริการผู้โดยสารตามเส้นทางย่อย (shorts 330) ส่วนการบินระหว่างประเทศนั้น ขณะนี้บริษัทการบินไทย จำกัด มีเครื่องบินไอพ่น สี่เครื่องยนต์ บริการไปประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งในทวีปเอเซีย ออสเตรเลีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ
เครื่องบินโดยสารพลเรือน ของบริษัทการบินไทย จำกัด
ขอบคุณที่มาของภาพ : http://kanchanapisek.or.th/kp6/pictures1/l1-237b.jpg

ขอบคุณที่มาของภาพ : http://www.rmutphysics.com/charud/video/1/flight/1.jpg 
เมื่อ 70-80 ปีก่อนไม่มีใครไม่รู้จักชื่อ นายเลื่อน พงษ์โสภณ ผู้มีฉายาว่า เลื่อนกระดูกเหล็ก”  นายเลื่อนเป็นคนเกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 ส่วนฉายา เลื่อนกระดูกเหล็กก็เพราะเป็นนักบิดมอเตอร์ไซค์ชั้นแนวหน้าของยุค มีการประลองความเร็วกันเมื่อใด นายเลื่อนจะนำฮาร์เลย์เดวิดสันคู่ชีพลงชิงชัยด้วยทุกที และชนะทุกครั้งจนถ้วยเต็มบ้าน เพราะบิดอย่างไม่กลัวเจ็บกลัวตาย แต่นายเลื่อนไปเรียนโรงเรียนนายร้อยทหารบก เมื่อสงครามสงบ ทางราชการให้ทหารอาสาที่สนใจเครื่องยนต์เรียนต่อที่ฝรั่งเศสได้ นายเลื่อน ฉวยโอกาสนี้ และสอบคัดเลือกได้เป็นอันดับ 1  เข้าเรียนจนจบหลักสูตร นายเลื่อนได้รับพระราชทานทุนส่วนพระองค์  รัชกาลที่ 7   ให้ไปเรียนวิชาการบินที่โรงเรียนเซนต์หลุยส์ สหรัฐอเมริกา เป็นเวลา 3 ปี มื่อนายเลื่อนกลับมา ไทยเรามีกรมอากาศยานแล้ว ในสังกัดกองทัพบก และซื่อเครื่องบินจากฝรั่งเศสมา 8 เครื่อง พร้อมส่งนักบินไปฝึกกับบริษัทผู้จำหน่ายมาครบจำนวน อีกทั้งนายเลื่อนไม่ได้รับความเชื่อถือ จึงหางานนักบินทำไม่ได้ ด้วยเหตุนี้นายเลื่อนจึงหาทางโชว์ฝีมือให้ประจักษ์สักครั้ง   นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ     ขอนำนางสาวสยามบินเบิกฟ้าจากสยามไปฮ่องกง อกจากสนามบินดอนเมือง วันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2475แวะไปตลอดทางตั้งแต่นครราชสีมาเป็นครั้งแรก ผ่านเวียดนาม จีน ถึงฮ่องกงในวันที่ 23 มิถุนายน ค้าง 3 คืนแล้วบินกลับในเส้นทางเดิม กลับมาถึงดอนเมืองในวันที่ 3 กรกฎาคม ความสำเร็จของนายเลื่อน ทำให้ชื่อเสียงของประเทศไทยฟุ้งกระจายไปในนานาประเทศ แม้จะเป็นเพียงประเทศเล็กๆ ยังไม่มีแม้แต่กองทัพอากาศ แต่นักบินพลเรือนคนหนึ่งก็อาจหาญบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปอย่างโดยเดี่ยว จนประสบความสำเร็จจึงถือได้ว่า นางสาวสยามเป็นเครื่องบินพลเรือนลำแรกของไทย และนายเลื่อน พงษ์โสภณ ก็เป็นนักบินพลเรือนคนแรกของไทยด้วยต่อมานายเลื่อนเข้าทำงานกับบริษัท เดินอากาศ จำกัด   ไปเป็นนายสนามบินโคราช จนได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. โคราช 4 สมัย เป็นรัฐมนตรี ลอยและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมถึง 6 รัฐบาล และได้รับพระราชทานยศเป็น นาวาอากาศเอก.
เครื่องบินพลเรือนลำแรกของไทย “นางสาวสยาม
ขอบคุณที่มาของภาพ : http://haab.catholic.or.th/PhotoGallery/photos/frist5/1OEOCEAOA.jpg



ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ ได้แก่ผู้ขับเครื่องบิน ผู้ควบคุมการบิน ในระหว่างทำการบินรวมถึงการขับเครื่องบินที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสาร ไปรษณีย์ภัณฑ์หรือสินค้า การขับเครื่องบินเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ เช่นทดสอบ ส่งมอบ ฉีดยาฆ่าแมลงหรือยาป้องกันแมลง สำรวจทางอากาศ ถ่ายภาพทางอากาศ และสอนนักบินฝึกหัดการควบคุมเส้นทางบินของการบิน การดูแลเครื่องบินระหว่างทำการบิน และให้คำแนะนำ นักบินอื่นๆ เกี่ยวกับการบินและเส้นทางการบิน

เป้าหมายของงาน / โจทย์ใหญ่ของงาน /ความท้าทายของงาน

อาชีพนักบิน เป็นอาชีพพิเศษแตกต่างจากอาชีพอื่นคือ การใช้กระบวนการคิดและทักษะทำงานภายใต้ภาวะความกดดันทั้งเรื่องเวลา ความเสี่ยง และสภาพแวดล้อมที่ทำงานอยู่บนอากาศ รวมถึงความปลอดภัยต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะหากมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น นักบินจะต้องมีทักษะและวิธีการแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องรวดเร็วและปลอดภัย เป้าหมายของงานคือการนำส่งผู้โดยสารให้ถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย โดยต้องคำนึงถึงชีวิตของผู้โดยสารเป็นอันดับแรก  หากเกิดปัญหาขึ้น ต้องรู้จักแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ อย่างกรณีที่เกิดปัญหาทางด้านสภาพภูมิอากาศไม่สามารถลงจอดได้เราต้องนำเครื่องขึ้นใหม่ แล้วบินวนรอจนกว่าสภาพอากาศจะดีพอให้ลงจอดอีกครั้ง เคยเจอกรณีมีผู้โดยสารป่วยในระหว่างการบิน ซึ่งต้องการความช่วยเหลือของแพทย์อย่างเร่งด่วน เราอาจจะรีบลงกลางทาง เพื่อให้ผู้โดยสารที่ป่วยได้รับการรักษาอย่างเร็วที่สุด

Work process

1.กำหนดตารางการบินในแต่ละเดือนว่าเราจะบินที่ไหนบ้าง เวลาใดบ้าง
2.ตรวจสภาพเครื่อง ทั้งภายนอกและภายในของเครื่องบิน ว่าพร้อมที่จะบินหรือไม่
3.เตรียมพร้อมที่จะบินรวมทั้งเริ่มติดต่อกับหน่วยควบคุมการบินทั้งในและต่างประเทศ
4.บินตามแผนการเดินทางที่เราได้วางไว้จนถึงจุดหมายปลายทาง
5.ขับเครื่องบินที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสาร ไปรษณีย์ภัณฑ์ หรือสินค้า                               
6.ควบคุมอากาศยานให้อยู่ในเส้นทาง ซึ่งทำการบินประจำ หรือในเที่ยวบินเช่าเหมา                              
7.สังเกตเครื่องวัดมิเตอร์ และเครื่องวัดประกอบการบินอื่นๆ ที่ใช้ควบคุมอากาศยาน                              
8.ตรวจความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเครื่องยนต์ ใช้เครื่องช่วยในการเดินอากาศสำหรับควบคุมเส้นทางบินของอากาศยาน    
อาจเป็นผู้ควบคุมอากาศยาน และรับผิดชอบในลูกเรือทั้งหมด หรือเป็นนักบินผู้ช่วย และอาจทำการบินภายใต้การควบคุมของผู้ควบคุมอากาศยาน                                                                                                    
แล้วแต่ว่าเราต้องออกเดินทางกี่โมง มีระยะทางในการบินเท่าไรใช้เวลากี่ชั่วโมง ถ้าเป็นระยะทางที่ไกลต้องใช้เวลานาน ก็จะมีการผลัดเปลี่ยนเวรกันไปพัก เมื่อถึงที่หมายแล้วก็จะได้ไปพักหรือเที่ยวบ้าง ก็จะแล้วแต่คน ส่วนใหญ่จะได้พักหนึ่งคืนที่ประเทศนั้นๆแล้วจึงบินกลับ

ขอบคุณที่มาของภาพ : http://newsthump.com/wp-content/uploads/2014/08/women-pilots.jpg

เนื่องจากนักบินเป็นผู้ขับเครื่องบินให้ไปสู่จุดหมายปลายทางของผู้โดยสารหรือสินค้าที่อยู่ในเครื่องบินซึ่งจะไปถึงที่หมายปลายทางได้หรือไม่นั้น นักบินจะต้องเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ฉะนั้น ผู้ประกอบอาชีพด้านนี้ จึงควรมีคุณสมบัติ ดังนี้
1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี
2. ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้ดี ควรมีความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ดีพอสมควร เพื่อใช้ในการศึกษา และใช้ในการปฏิบัติงาน
3. รูปร่าง บุคลิกดี มีความสูงไม่น้อยกว่า 165 ซ.ม. มีมนุษยสัมพันธ์ดี มีปฏิภาณไหวพริบดี มีสำนึกในความปลอดภัย และมีความสามารถเป็นทั้งผู้นำและผู้ตาม
4. มีความรับผิดชอบต่อตนเอง และผู้อื่นสูง มีความกล้าหาญ และมีความสามารถในการตัดสินใจและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างถูกต้อง และรวดเร็ว
5. มีความมั่นใจในตนเอง ละเอียดรอบคอบ มีความจำดี ช่างสังเกต
6. สายตาสั้นไม่เกินมาตรฐานที่กำหนด และต้องไม่ตาบอดสี
7. ในการสอบสัมภาษณ์มีทั้งการสอบภาษาไทย และสอบเชาว์ปัญญา ( Aptitude Test) และอาจมีการสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษโดยผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ผู้สมัครควรมีความรู้ภาษาอังกฤษดี และมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ด้วย
8. ในการขับเครื่องบิน ต้องได้รับใบอนุญาตการบิน ( Pilot License) รวมทั้งต้องผ่านการตรวจ ร่างกาย และทดสอบทางจิตเวชจากสถาบันเวชศาสตร์การบิน
ผู้ประกอบอาชีพนี้นอกจากจะมีคุณสมบัติ ดังที่กล่าวมาแล้ว ควรเตรียมตัวเพื่อเข้าเรียน หลังจากผ่านการสอบคัดเลือกตำแหน่งตามเงื่อนไข คือจะถูกส่งเข้าศึกษาต่อหลักสูตรการบิน ในโรงเรียนการบินต่างๆ เช่น วิทยาลัยการบินนานาชาติ มหาวิทยาลัยนครพนม เมื่อเริ่มต้นเรียนการบิน จะฝึกบินกันที่สนามบินนครพนม เนื่องจากเป็นสนามบินที่มีการจราจรทางอากาศไม่คับคั่ง สภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศ เหมาะสำหรับการฝึกบิน โดยมีหลักสูตรดังนี้
1.หลักสูตรนักบินพาณิชย์ตรี - เครื่องบิน (Commercial Pilot Licence - Aeroplane)
ใช้เวลาในการศึกษาประมาณ 58 สัปดาห์ ทำการฝึกอบรมให้ศิษย์การบินมีความรู้ความสามารถในการบินกับเครื่องบินจนเข้ามาตรฐานได้รับใบอนุญาตนักบินพาณิชย์ตรี ตามที่กรมการบินพลเรือนกำหนดไว้ ศิษย์การบินที่สำเร็จการศึกษาในหลักสูตรนี้ จะได้รับใบประกาศนียบัตรนักบินพาณิชย์ตรี จากนั้นจึงทำการสอบขอใบอนุญาต " นักบินพาณิชย์ตรี" พร้อมวุฒิการบินด้วยเครื่องวัดประกอบการบิน และเครื่องบินหลายเครื่องยนต์จากกรมกรมการบินพลเรือน

2.หลักสูตรวิชานักบินส่วนบุคคล ( Private Pilot Licence)

3. หลักสูตรเพิ่มศักย์การบินต่างๆ ได้แก่
3.1 หลักสูตรการบินหลายเครื่องยนต์(Multi Engine Rating)
3.2 หลักสูตรการบินด้วยเครื่องวัดประกอบการบิน (Instrument Rating)
3.3 หลักสูตรครูการบิน (Flight Instructor Rating)
3.4 Multi Crew Cooperation (MCC) and Jet Orientation Training (JOT)
เนื่องจากวิทยาลัยการบินนานาชาติ เป็นโรงเรียนการบินของรัฐบาล 100 % ค่าใช้จ่ายในการเรียนจึงต่ำกว่าโรงเรียนการบินอื่นๆ อีกทั้งยังมีบริการที่พัก อาหาร บริการรถรับ - ส่ง และเอกสารตำราเรียนที่เป็นลิขสิทธิ์แท้ ไว้สำหรับบริการศิษย์การบินของวิทยาลัยการบินนานาชาติทุกคน


อาชีพนักบินสามารถรับราชการเป็นนักบินของหน่วยราชการต่างๆ เช่น กองบินสำนักงานตำรวจ แห่งชาติ สำนักฝนหลวง และการบินเกษตร หรือสายการบินเอกชนต่างๆ เช่น บริษัทการบินไทย บริษัทบางกอกแอร์เวย์ ซึ่งยังมีความต้องการพนักงานในตำแหน่งนี้ยังมีมากแต่การคัดเลือกบุคลากรที่เหมาะสม รวมทั้งการสอน และอบรมในการบินสามารถรับได้ครั้งไม่มากจึงจัดว่าเป็นอาชีพที่ขาดแคลน
สถาบันที่จะฝึกนักบินในประเทศไทยนั้นมีจำนวนน้อยมาก และส่วนใหญ่จะฝึกให้หน่วยงานราชการ เพื่อใช้ในหน่วยงานของตนเอง แต่ถ้าหน่วยงานใดองค์การใดที่ต้องการนักบิน และไม่สามารถที่จะฝึกอบรมด้วยตนเองได้ก็จะส่งบุคคลในหน่วยงานของตนนั้นมาทำการฝึกอบรมการบินที่โรงเรียนการบินต่างๆในประเทศไทย ฉะนั้นผู้ที่จบการศึกษาแล้ว ส่วนใหญ่จึงกลับเข้าทำงานในหน่วยงานเดิมของตนที่ส่งมาฝึกอบรม แต่ถ้าเป็นศิษย์การบินที่เรียนโดยทุนส่วนตัว เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วก็จะทำงานเป็นนักบินในบริษัทสายการบินต่างๆ ซึ่งจะได้รับเงินเดือนสูงมากผู้ที่ประกอบอาชีพนักบินมักจะเป็นชาย ในปัจจุบันประเทศไทยมีนักบินอาชีพที่เป็น ผู้หญิงทำงานในบริษัท บางกอกแอร์เวย์ แอร์เอเชียและบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย แต่สำหรับบริษัทการบินไทย ยังไม่มีนักบินอาชีพที่เป็นผู้หญิง
ผู้ที่ประกอบอาชีพนักบินสามารถเข้าสมัครงานในภาคราชการหรือภาคเอกชนที่ประกาศรับสมัครโดยต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ และเมื่อผ่านการคัดเลือกแล้วจะต้องเข้ารับการอบรมการบินตามโรงเรียนการบินในประเทศไทย ตามที่หน่วยงานของตนจะกำหนด โดยเมื่อจบการอบรมก็จะได้รับบรรจุเข้าเป็นนักบินประจำหน่วยงานนั้น
ยกเว้นนักบินของกองทัพอากาศ ซึ่งจะต้องเรียนโรงเรียนนายเรืออากาศและสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนการบินของกองทัพอากาศซึ่งจะมีหลักสูตรการบินที่เกี่ยวกับการทหารไม่ใช่การบินเชิงพาณิชย์สำหรับนักบินทั่วไป เมื่อจบหลักสูตรจึงจะได้บรรจุเป็นทหารสัญญาบัตรเหล่านักบิน และได้รับการบรรจุเข้าประจำฝูงบินต่างๆ หรือบรรจุเข้ารับราชการตามกรมกองต่างๆ

ขอบคุณที่มาของภาพ :

สถานที่ทำงาน
พี่เชื่อว่าห้องทำงานของพี่ น่าจะเป็นหนึ่งในห้องทำงานที่เล็กที่สุด ที่จะต้องใช้ชีวิตในนั้นตลอดเวลาการทำงาน เรียกได้ว่าทุกๆเหตุการณ์และอารมณ์ที่เกิดขึ้น จะอยู่ภายในห้องทำงานนี้ทั้งหมด ซึ่งจะประกอบไปด้วยที่นั่งนักบินซ้ายและขวา และมีที่นั่งสำรองอีกสองที่ด้านหลัง ส่วนด้านหน้าของเครื่องบินจะมีหน้าปัดหรือ Monitor และปุ่มควบคุมต่างๆของเครื่องบิน ปุ่มบังคับอัตโนมัติต่างๆจะอยู่ด้านหน้าทั้งหมดรวมถึงระบบต่างๆของเครื่องบินอีกด้วย
สภาพการทำงาน
เนื่องจากเราผ่านการฝึกมาอย่างดี ในเรื่องของระบบควบคุมการบินต่างๆ และเรื่องการมีสติในการทำงานจึงไม่ตื่นเต้นหรือกดดัน แต่เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับปัญหาเฉพาะหน้าที่เราไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราจะมีระบบรุ่นพี่รุ่นน้องและการเคารพกันค่อนข้างมาก เพราะมีการเรียนและทดสอบทางด้านการบินมาด้วยกัน  และต้องมีการเวียนทำงานกับนักบินหลายๆคน แล้วแต่ว่าเรามีคิวที่ต้องทำงานคู่กับใคร จึงต้องเป็นคนที่ทำงานร่วมกับทุกคนได้
ประเภทของลูกค้า
ลูกค้าจะคือทุกคนที่ต้องการเดินทางในการโดยสารเครื่องบินไปยังที่ต่างๆ ซึ่งจะสามารถแบ่งระดับชั้นความสะดวกสบายที่แตกต่างกัน โดยทั่วไป สายการบินจะมี การจัดชั้นที่นั่งบนเครื่องบินออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้
         1.ชั้นหนึ่ง (First class) เป็นชั้นที่มีบริการพิเศษสุด มีที่นั่งกว้างมากและสามารถปรับเอนได้ที่นั่งส่วนใหญ่อยู่หลังห้องนักบิน เป็นเพราะพื้นที่บริเวณนี้ค่อนข้างกว้างและเป็นส่วนตัว ไม่มีผู้โดยสารชั้นอื่น เดินผ่าน ที่นั่งส่วนนี้ จึงสะดวกสบาย เงียบ และไม่พลุกพล่าน มีอาหารชนิดพิเศษ เหล้า ไวน์ นอกจากนั้นยังมีสิ่งบันเทิงอีกมากมายให้บริการ อีกทั้งสามารถนำสัมภาระติดตัวได้มาก โดยลูกค้าในชั้นนี้จะเป็นระดับ ผู้บริหารชั้นสูง ไฮโซ นักการเมือง หรือ ผู้ที่มีฐานะทางการเงินที่ดีเพราะค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
       2.ชั้นธุรกิจ (Business class) เป็นชั้นที่มีการบริการพิเศษรองลงมาจากชั้นหนึ่ง มีอาหารพิเศษรองจากชั้นหนึ่ง และอีกหลากหลายอย่างที่รองจากชั้นหนึ่ง แต่มีเครื่องดื่มคล้ายยกับชั้นหนึ่งที่นั่งชั้นธุรกิจ โดยทั่วไปอยู่ต่อจากที่นั่งชั้นหนึ่ง และอยู่ด้านหน้าของที่นั่งชั้นประหยัด อีกทั้งสามารถนำสัมภาระติดตัวได้มาก
       3.ชั้นประหยัด (Economy class) เป็นชั้นที่ผู้โดยสารส่วนใหญ่นิยมใช้บริการกันที่นั่งชั้นประหยัด โดยทั่วไปเริ่มตั้งแต่ส่วนกลางของเครื่องบิน (ส่วนปีก) จนถึงส่วนท้าย (หางเครื่องบิน) จำนวนที่นั่งมีมากที่สุด ตัวเก้าอี้นั่งไม่สามารถจะปรับนอนราบได้ มีบริการอาหารและเครื่องดื่มธรรมดาฟรี ซึ่งลูกค้าในชั้นนี้จะเป็นระดับคนธรรมดาที่มีรายได้ปานกลางจนถึงน้อย 

ขอบคุณที่มาของภาพ : https://pbs.twimg.com/media/CR0LpL9VAAAwlhn.jpg

อาชีพนักบินจำเป็นต้องมีทั้งความเป็นผู้นำและต้องรู้จักการทำงานเป็นทีมร่วมกับคนอื่นเพราะเครื่องบินโดยสารหนึ่งลำ มีผู้ร่วมงานที่เป็นนักบินด้วยกัน พนักงานต้อนรับบนเครื่องรวมทั้งเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องที่จะช่วยให้ภารกิจ การบินนั้นสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี นักบินจึงควรมีบุคลิกภาพที่ต้องมีความรู้จริงในอาชีพ มีทักษะการติดต่อสื่อสารดีเยี่ยม รู้จักฟังผู้อื่นหรือเป็นผู้ฟังที่ดียอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น มีความขยันหมั่นเพียร มีความกระตือรือร้นมีภาพลักษณ์ที่ดี ตรงต่อเวลา มีความอดทน รวมถึงต้องรู้จักอ่อนตัวที่จะปรับตัวเข้ากับทุกสถานการณ์รู้จักแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบอย่างเด็ดขาดเพื่อให้การทำงานร่วมกับเพื่ออื่นสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี


ผลตอบแทน
อาชีพนักบินเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่มีความน่าสนใจมาก เพราะในปัจจุบันด้านการบินกำลังเคลื่อนตัวไปได้ดีและก็มีการแข่งขันกันสูงขึ้น เรื่องเงินเดือนจะค่อนข้างสูงเพราะต้องมีความเสี่ยงเรื่องของการรักษาชีวิตผู้โดยสาร  ตอนนี้พี่เป็นกัปตัน มีรายได้ตกประมาณเดือนละ  300,000 บาท การทำงานของนักบินหรือพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน รวมไปจนถึงผู้ที่ทำงานในวงการการบิน เช่น เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ ช่างซ่อมบำรุง วิศวกร ต่างๆนั้น จริงๆที่พวกเขาได้ค่าตอบแทนที่สูงนั้น เพราะต้องทำงานที่เสี่ยงภัยตลอดเวลาต้องทำงานให้มีโอกาสผิดพลาดน้อยที่สุดหรือจนแทบจะไม่ให้เกิดขึ้นได้เลย ดังนั้นก็ต้องเผชิญกับความเครียดและความกดดันอยู่ตลอดเวลาและต้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงเพื่อพร้อมทำงานอยู่ตลอดเวลา
บิน 10 ปีก็มีเงินเก็บ 25 ล้านได้สบายๆ
นี่เป็นเรื่องจริงในวงการนักบินที่ผลตอบแทนแสนจะมหาศาล โดยนักบินจะมีทั้งเงินเดือน ค่าเบี้ยเลี้ยง ไปจนถึงสวัสดิการสุดฟินและสายการบินชั้นนำอย่างเอทิฮัดก็จ่ายหนักถึง 480,000 บาทต่อเดือน และยิ่งใครมีใบอนุญาติครูสอนนักบินก็เอาเพิ่มไปอีก 40,000 ชิลๆในขณะที่ทางการบินไทย กัปตันจะมีรายได้ราว 280,000 ต่อเดือน
ส่วนในระบบของการบินไทยนั้น
นักบินใหม่จะได้เงิน 60,000+30,000 ค่าเบี้ยเลี้ยง ในขณะที่โคไพลอตจะมีเพดานสูงขึ้นมาที่ 160,000-180,000 บาท อย่างไรก็ตามเงินตรงจุดนี้ก็สู้สายการบินเอทิฮัดไม่ได้เพราะที่นั่นเค้าจ่ายหนักถึง 280,000 มากกว่าของไทยอีกเท่าตัวและนี่ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้วงการนักบินไทยเริ่มสั่นคลอน เพราะใครๆก็อยากได้เงินเยอะ
การปรับเงินเดือน
หากใครติดตามข่าวช่วงก่อนจะทราบว่ามีนักบินจำนวนมากลาออก และนั่นทำให้ทางการบินไทยพยายามปรับตัวตามเพื่อยื้อบุคลากรคุณภาพเอาไว้ด้วยการปรับเงินเดือน โดยกัปตันอัพขึ้น 60,000 บาท ซีเนียร์โคไพลอต 45,000 บาทและจูเนียร์โคไพลอต 30,000 บาท แต่อย่างไรก็ยังยากจะรั้งนักบินไทยฝีมือเก๋าไว้ได้ เพราะเอทิฮัดจงใจสู้ศึกยื้อแย่งนักบินจากทั่วโลกโดยการจ่ายเงินแบบหนักมาก


อาชีพนักบิน ต้องผ่านการทดสอบหลายขั้นตอนกว่าจะก้าวมาเป็นนักบินได้ เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ว่าคุณสามารถทำหน้าที่นี้ได้จริงๆ และต้องทำได้อย่างดีด้วย เพราะชีวิตของผู้โดยสารทุกคนอยู่ในความดูแลของคุณตลอดการเดินทาง ทุกคนบนเครื่องบินมีเหตุผลในการเดินทางที่ต่างกัน แต่มีคุณค่าและความหมายของตัวเอง หลายคนออกเดินทางเพื่อตามหาความฝัน  ไปเพื่อพบกับความสุข หรือจัดการเรื่องที่รุงรังในชีวิตในตอนนี้ ไม่ว่าจะคืออะไรเราต้องทำให้พวกเขาไปให้ถึงโดยปลอดภัยให้ได้ และนี่คือคุณค่าของการเป็นอาชีพนักบิน   


เครื่องมือที่สำคัญของนักบินก็คือเครื่องบิน ซึ่งการขับเครื่องบินไม่ยากไปกว่าการขับยานพาหนะอื่นๆ เมื่อเครื่องยนต์เดินเรียบร้อยแล้ว นักบินจะวิทยุไปที่หอบังคับการบินเพื่อขออนุญาตขับเครื่องบินไปตั้งตัวที่ปลายทางวิ่ง ณ ที่นี้ นักบินจะตรวจสอบทดลองการทำงานของชิ้นส่วน เครื่องวัด และอุปกรณ์จำเป็นทุกรายการที่เขียนไว้ ในคู่มือของเครื่องบิน แบบนั้นๆ เมื่อหอบังคับการบินพูดวิทยุอนุมัติให้ขึ้นบินได้ นักบินจะเริ่มเร่ง เครื่องยนต์ให้เครื่องบินเคลื่อนที่ออกวิ่งทวนลม นักบินต้องใช้มือและเท้าแตะไว้ที่คันบังคับ คอย เลี้ยงเครื่องอย่างเบาๆ ให้เครื่องวิ่งตรงอยู่ในทาง ไม่เซไปเซมา เครื่องจะค่อยๆ เร็วขึ้น เร็วขึ้น จนกำลังยกมากกว่าน้ำหนักเมื่อใด เครื่องบินก็จะลอยตัวขึ้นสู่อากาศ ณ ระยะสูงที่ปลอดภัย นักบินจะเบาเครื่องเครื่องยนต์ลงตามเกณฑ์ในคู่มือ พับฐานเก็บล้อเพื่อให้แรงต้านทานน้อยลงแล้วจะ ได้รับความเร็วเพิ่มขึ้นเองอีกด้วย ซึ่งทักษะในการขับเครื่องบิน ที่เราได้รับการฝึกอบรมมา เราควรจะต้องแม่นยำในเรื่องของระบบต่างๆภายในเครื่องบินเป็นอย่างดีเพื่อให้การออกบินในแต่ละครั้งดำเนินไปอย่างราบรื่น
การวัดบุคลิกภาพ สามารถวัดได้ 7 ประการ
1. ทางกาย เช่น รูปร่าง หน้าตา การแต่งกาย
2. อารมณ์ เช่น การแสดงออก สดชื่น อารมณ์ขัน ร่าเริง หงุดหงิดง่าย
3. สติปัญญา เช่น ความจำ สังเกต ขีดความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสนใจ/ค่านิยม เช่น งานอดิเรก สิ่งที่นิยม ศรัทธา เลื่อมใส
5. เจตคติ (Attitude) เช่น ความรู้สึกต่อสังคม บุคคลใดบุคคลหนึ่ง เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทางที่ดี/ไม่ดี
6. แรงจูงใจ เช่น อยากทำอะไรมาก ร่วมกับผู้อื่น
7. สังคม เช่น มนุษย์สัมพันธ์
ทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อการเป็น นักบินพานิชย์
1. ต่อต้านกฎและระเบียบ (Anit-authority) มีทัศนคติที่เห็นว่ากฎและระเบียบต่าง ๆ ไม่มีความสำคัญและไม่ควรยึดถือ
2. ไม่มีความรอบคอบ (Impulsivity) ปฏิบัติต่อสิ่งต่าง ๆ โดยทันทีตามสิ่งแรกที่นึกได้โดยไม่ตริตรองหาแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด
3. ชอบเสี่ยง (Invulnerability) มีทัศนคติที่ชอบเสี่ยงที่เพิ่มอัตราความเสี่ยงโดยมีความคิดว่าอุบัติเหตุจะไม่เกิดขึ้นกับตัวเรา
4. ชอบแสดงออก (Macho) มีทัศนคติที่ชอบแสดงออกออกว่าเหนือกว่าผู้อื่นและทำบางสิ่งที่เสี่ยงเพื่อแสดงว่าเหนือกว่าผู้อื่น
5. ไม่รับรู้และรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่กระทำ (Resignation) มีทัศนคติที่ว่าสิ่งต่าง ๆ ที่กระทำไปไม่เกิดผลในทางบวกหรือลบอย่างมากมายทั้งต่อตนเองหรือผู้อื่น สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดเป็นเพียงความโชคดีหรือโชคร้าย ซึ่งทัศนคตินี้จะมีผลให้เราไม่รับผิดชอบต่อสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าดีหรือร้าย
แนวความคิดเพิ่มเติม
1. Keep calm อย่าแพ้ภัยตนเอง ข้อสอบมิได้ต้องการให้ผู้ที่ทำได้มากที่สุด (แต่ผิดเยอะ) การทำข้อสอบคือการสะท้อนการบินคือต้องมีความแน่ใจและถูกต้อง ห้ามเดา ไม่มีใครที่ทำข้อสอบได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นจงทำเท่าที่เราทำได้และแน่ใจเท่านั้น
2. ไม่มีการเตรียมการใดดีเท่ากับการทำให้สมองแจ่มใสที่สุด หัดคิดเลข ทำตัวอย่างบ้าง หรือแนวข้อสอบที่ทำขึ้นเองบ้าง ทั้งหมดเพื่อให้สมองได้คิดมีความหลักแหลมขึ้น (เคาะสนิมออก) แต่อย่าคาดหวังว่าจะต้องเจอตามโผ (แต่ได้ก็ดี) และตามที่กล่าวคือทำสมองให้ clear (ซึ่งหมายถึงพยายามงดเหล้าหรือสิ่งต่าง ๆ ที่จะทำให้สมองมึนงง)
3. ความต้องการ
3.1 Good discipline (ต้องแสดงให้เห็น เช่นถ้าถูกสอบถามว่าลูกหรือลูกน้องทำผิดจะทำอย่างไร
ก็ต้องบอกว่าต้องมีการลงโทษ (good discipline !) (แต่จะลงโทษด้วยวิธีใดนั้นอีกเรื่องหนึ่งอย่า sadist มากนักจะกลายเป็น abnormal ไป)
3.2 มีความอดทน (Guard ไม่ตก) ขยัน และพร้อมรับรู้สิ่งใหม่ ๆ
3.3 เข้ากับคนได้ดี

คาดว่าพอพูดอ่าน อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คงจะทำให้มีเเรงฮึดสู้อ่านหนังสือเตรียมตัวสอบมากขึ้นนะคะ อันไหนที่ยังเป็นข้อบกพร่องก็ทำการแก้ไขโดยด่วนนะคะ นี้เป็นเพียงเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยเกี่ยวกับการเป็นนักบินนะคะ ยังไงซะก็ขอให้คนที่มีฝันเดียวกันกับเจ้าของบล็อกประสบความสำเร็จสมหวังกันทุกคนค่ะ

ข้อมูลอ้างอิง
2) http://www.a-chieve.org/information/detail/10134 : แนะนำอาชีพ
3) http://www.meekhao.com/news/pilot-salary : หมีขาว มีข่าว
4) http://www.crewsociety.com/1203 : สังคมคนชอบบิน
5) http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=1&chap=8&page=t1-8-infodetail07.html : สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนโดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
6) http://haab.catholic.or.th/PhotoGallery/photos/frist5/frist5.html : หอจดหมายเหตุอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

ข้อมูลจากหนังสือ
1) A pilot ตีพิมพ์ครั้งที่ 2 เขียนโดย Capt.Sopon P.
2) เตรียมตัวเป้นนักบิน เขียนโดย ภูธนภัส รุ่น AP-88 สถาบันกรบินพลเรือน

เรียบเรียงโดย : สุชานันท์  พวงมาลี



วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2559

บทความที่ 1



   ในปัจจุบันเราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การทำสีผมเป็นแฟชั่นยอดนิยมของผู้คนในยุคนี้ โดยหากลองสังเกตรอบๆตัว จะพบว่ามีผู้คนมากมายที่ทำสีผม และไม่ได้จำกัดแค่อายุในช่วงใดช่วงหนึ่งเท่านั้น เหตุผลในการทำสีผมของผู้คนมีแตกต่างกันไป บางคนต้องย้อมผมเพราะมันเป็นงาน ซึ่งงานของเขาเหล่านั้นต้องการความทันสมัยอยู่ตลอด บางคนทำไปตามแฟชั่นคนอื่นทำได้ ฉันก็ทำได้ โดยที่อาจไม่ได้คำนึงถึงความเหมาะสมของใบหน้า บางคนย้อมผมเพราะต้องการปกปิดผมขาวที่เกิดขึ้นตามวัย โดยในยุคสมัยนี้สีผมแฟชั่นไม่ได้มีแค่สีทอง ม่วง แดง เหมือนสมัยก่อน แต่มีความหลากหลายของสีผมเพิ่มมากขึ้น โดยอิทธิพลส่วนใหญ่ก็มักจะมาจากนักร้องเกาหลี ที่มักจะย้อมผมสีแปลกตา เช่น สีรุ้ง สีส้ม สีเทาควันบุหรี่ สีชมพู สีฟ้า เป็นต้น

ขอบคุณที่มาของภาพ :  http://www.springnews.co.th/wp-content/uploads/2014/11/------------------118.jpg

      แฟชั่นสุดเท่ห์เหล่านี้ ที่เมื่อคุณทำก็จะกลายเป็นเหมือนนักร้องศิลปินที่คุณชื่นชอบได้ในพริบตา แต่เดี๋ยวก่อน...สำนวนที่ว่า ได้อย่างเสียอย่าง” คงสามารถใช้ได้กับแฟชั่นประเภทนี้ เพราะการย้อมผมให้ได้สีดั่งใจนั่น ต้องผ่านการหมัก การกัดสีผมซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการนำสารเคมีชโลมลงบนหนังศีรษะและเส้นผมโดยตรง ซึ่งมีคำกล่าวของ นายแพทย์สุวินัย บุษราคัมวงษ์ แพทย์สาขาอายุรกรรม แผนกประกันสังคม รพ.กล้วยน้ำไท 1 กล่าวว่า “การทำสีผมบ่อย ๆ นั้นอาจทำให้เส้นผมที่ผ่านสารเคมีนั้นไม่แข็งแรงหลุดร่วงได้ง่าย และยังทำให้เกิดอันตรายต่อใบหน้าหรือระคายเคืองต่อหนังศีรษะส่งผลให้ผิวหนังเป็นแผลได้ รวมทั้งก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้โรคหนังศีรษะแห้งและที่สำคัญอาจทำให้เป็นโรคมะเร็งหนังศีรษะได้”

ผลิตภัณฑ์ย้อมผมที่มีขายทั่วไปในท้องตลาดแบ่งได้ดังนี้

1. ยาย้อมผมชนิดชั่วคราว
       มีส่วนประกอบของสีที่รับรองแล้ว มีขนาดโมเลกุลใหญ่ สีนี้เคลือบบนชั้นนอกของเส้นผม มักจะล้างออกหลังจากสระผมด้วยแชมพูครั้งแรก หรือครั้งที่ 2 ผลิตภัณฑ์ทางการค้า ได้แก่
            -คัลเลอร์ รินส์ (Color rinse) มีหลักการใช้โดยสระผม แล้วซับน้ำให้แห้ง ทาคัลเลอร์รินส์ลงบนเส้นผม อาจเริ่มจากผมบริเวณท้ายทอย หวี หรือแปรงให้ทั่ว ไม่ต้องล้างออกหรืออาจทิ้งไว้ประมาณ 2 - 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ซึ่งทั้งนี้ต้องปฏิบัติตามวิธีใช้ของแต่ละตำรับ
             -ดินสอทาสีผม (Hair Crayons) ใช้สำหรับปกปิดเส้นผมที่เริ่มหงอก หรือ ตกแต่งผมที่งอกออกมาใหม่ หลังการย้อม วิธีการใช้ทำโดยให้ปลายของแท่งดินสอนี้เปียกน้ำแล้วทาตลอดบนเส้นผมหงอกเริ่ม ตั้งแต่หนังศีรษะ เนื่องจากดินสอทาสีผมประกอบด้วยไขมัน ดังนั้นการย้อมผมครั้งต่อไปต้องแน่ใจว่าล้างเอาไขมันออกจากเส้นผมหมดสิ้น
-สีพ่นสำหรับผม (Color Sprays) มักบรรจุในกระป๋องฉีดพ่น มีสีเงิน สีทอง และสีอื่นๆ ไว้สำหรับใช้ในกรณีพิเศษ
ความเป็นพิษ
      ปลอดภัยในการใช้เพราะสีที่ใช้มักเป็นสีที่รับรอง (Certified colour) และใช้เพียงชั่วคราวแล้วล้างออก
ขอบคุณที่มาของภาพ http://upic.me/i/pd/1380120_672780659399339_309027043_n.jpg
2. ยาย้อมผมชนิดกึ่งถาวร
       มีส่วนประกอบเป็นสี ซึ่งมีขนาดโมเลกุลเล็กสามารถซึมเข้าไปถึงชั้นกลางเส้นผมได้ สีจะคงทนได้นาน 3 - 5 อาทิตย์ ขณะนี้กำลังเริ่มจะเป็นที่นิยมได้แก่ แชมพูย้อมสีผม โลชั่น และโฟมย้อมสีผม
ความเป็นพิษ
      เนื่องจากสีบางชนิดที่ใช้เป็นสีเช่นเดียวกับที่ใช้ในยาย้อมผมชนิดถาวร ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการระคายเคือง อาการแพ้หรือ ทำให้เกิดมะเร็งในสัตว์ทดลอง ดังนั้นจึงต้องมีการทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้ทุกครั้งเช่นเดียวกับยาย้อมผมชนิดถาวร และควรปฏิบัติตามวิธีใช้ และคำเตือนอย่างเคร่งครัด
ขอบคุณที่มาของภาพ : http://thainn.com/variety//uploads/picture01/4811.jpg 
3. ยาย้อมผมชนิดถาวรติดทนบนเส้นผมอย่างถาวร
        ทนทานต่อการสระด้วยแชมพู การแปรงและอื่นๆ
 3.1 ยาเคลือบสีผม (Coating Tints) สีจะสะสมบนชั้นนอกของเส้นผมเท่านั้น แบ่งออกเป็น
    3.1.1 สมุนไพรย้อมผม (Vegetable Dyes) สีจะเคลือบติดบนเส้นผมคงทน โดยมีผลต่อชั้นนอกสุดของเส้น  ผม แต่ไม่เปลี่ยนโครงสร้างของเส้นผม ได้แก่ ยาย้อมผมที่มีส่วนผสมของใบจากต้นเฮนนาให้สีทอง และสีแดง
    3.1.2 เกลือโลหะย้อมผม (Metallic Dyes) ได้แก่ ยาเคลือบผมที่ส่วนประกอบของตะกั่วอะซีเตต เชื่อว่าเกิดปฏิกิริยาระหว่างตะกั่ว อะซีเตตและซัลเฟอร์ในเคราตินทำให้เกิดตะกั่วซัลไฟด์เคลือบติดบนเส้นผม ต้องทาซ้ำ เพื่อให้ได้สีตามต้องการ
    3.1.3 สีผสม (Compounds dyes) เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสมุนไพรย้อมผม และเกลือโลหะย้อมผม
 3.2 ยาย้อมผมชนิดซึมเข้าในเส้นผม ประกอบด้วยน้ำยา 2 ขวด
ขวดที่ 1 อาจเป็นของเหลวหรือครีม มีสารออกฤทธิ์สำคัญ คือ สีออกซิเดชั่น หรือที่เรียกว่าสีพารา อยู่ในสภาวะด่าง ซึ่งโดยมากใช้แอมโมเนียความเป็นกรด - ด่าง ประมาณ 8-11 ด่างจะช่วยในส่วนชั้นนอกของเส้นผมบวม และพองขึ้นมาก ทำให้สีซึมเข้าไปอยู่ในเส้นผม แต่หากเป็นด่างมากจะเป็นอันตรายต่อเส้นผม เพราะด่างสามารถละลายส่วนชั้นนอกของเส้นผมบางส่วน ทำให้เส้นผมแลดูหยาบกระด้าง นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมของสารลดแรงตึงผึว เพื่อช่วยสีย้อมผมซึมเข้าไปในเส้นผมได้ดี และอาจประกอบด้วยสารที่ทำให้ข้นเพื่อป้องกันสีย้อมผมไหลออกจากเส้นผม เป็นต้น
ความเป็นพิษ
      พาราฟีนีลีนไดอะมีน และ พาราโทลูไดอะมีน เป็นตัวยาสำคัญของยาย้อมผมชนิดถาวรซึ่งนิยมใช้มากในประเทศไทย และเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ และผิวหนังอักเสบ พารฟีนีไดอะมีน ทำให้ผู้ใช้เกิดอาการแพ้ได้ร้อยละ 4 และเป็นผู้เกิดอาการแพ้รุนแรงร้อยละ 1 โดยเริ่มแรก ผิวหนังมีผื่นแดง มีอาการบวมรอบนัยน์ตา ต่อมาผื่นแดงจะกลายเป็นตุ่มใส และมีน้ำเหลือง มีอาการคันมาก บริเวณที่เกิดเป็นตั้งแต่ศีรษะ ใบหน้า และ ต้นคอ ถ้าแพ้มากทำให้หายใจลำบาก นอกจากนั้นทำให้เกิดจ้ำเขียว เป็นผื่น มีผู้ทดลองพบว่า สารพวกนี้ทำให้เกิดเนื้องอกในสัตว์ทดลองได้
ขอบคุณที่มาของภาพ http://www.bloggang.com/data/b/billionhair/picture/1358584244.jpg
4.เกลือโลหะย้อมผม (Metallic hair dyes) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Hair restorers
      ผลิตภัณฑ์ส่วนมากเป็นครีมหรือโลชั่นแต่งผม มีสารออกฤทธิ์สำคัญคือ ตะกั่วอะซิเตด (มีบางผลิตภัณฑ์ที่ใช้ซิลเวอร์ไนเตรต) มีวิธีใช้โดยทาทุกวันจนได้สีตามต้องการ สีจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ และดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง สำหรับผมสีเทา โดยปกติจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง น้ำตาล และ ดำ ทั้งนี้ขึ้นกับความเข้มข้นของตะกั่วอะซิเตด จำนวนครั้งที่ทา และระยะเวลา สีที่เกิดขึ้นเนื่องจาก มีการสะสมเกลือโลหะบนส่วนนอกของเส้นผมและทำปฏิกิริยากับแสงแดด และ อากาศ ทำให้เกิดออกไซด์ หรือ ซัลไฟด์ของโลหะซึ่งไม่ละลายน้ำ สีที่เคลือบเส้นผมมักจะติดขอบหมวก ปลอกหมอน ที่นอน การทาซ้ำๆ ที่เส้นผมที่งอกใหม่บ่อยๆ จะมองไม่เห็นความแตกต่างของสีที่เกิดทั้งบริเวณใกล้หนังศีรษะและตลอดความยาวของเส้นผม ทั้งนี้เพราะสีค่อยๆเกิด
ความเป็นพิษ
      เกลือโลหะที่ย้อมผมไม่เป็นอันตรายโดยตรงต่อผิวหนัง แต่เมื่อใช้ไปนานๆ จะมีการสะสมของของโลหะในร่างกาย ทำให้เกิดพิษได้ ดังนั้นต้องระมัดระวังในการใช้ดังนี้
1.เก็บให้พ้นมือเด็ก
2.ห้ามใช้กับผิวหนังที่ถลอก
3.ห้ามใช้กับยาย้อมหนวด
4.อย่าให้เข้าตา หากเข้าตาให้ล้างตาอย่างทั่วถึง
5.ล้างมือให้สะอาดทั่วถึงหลังการใช้ทุกครั้ง
ขอบคุณที่มาของภาพ : http://pics.drugstore.com/prodimg/538252/450.jpg 
5.สมุนไพรย้อมผม (Vegetable hair dyes)
      เฮนนา เป็นพืชที่ใช้ย้อมผมตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ประกอบด้วยผงของใบและกิ่งแห้ง ซึ่งเก็บจากต้นก่อนที่จะออกดอก เนื่องจากมี 2-ไฮดรอกซี-1,4-แนพธาควิโนน (2-hydroxy-1,4-naphthaquinone) หรือที่เรียกว่า ลอร์โซน (Lowsone) ซึ่งละลายในน้ำร้อน
      วิธีการย้อม ใช้ผงเฮนนาผสมน้ำเล็กน้อยเป็นลักษณะแป้งเปียกและทำให้เป็นกรดเล็กน้อยพอกบนเส้นผมที่เปียก ห่อเส้นผมไว้ด้วยผ้าเช็ดตัวและทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที หลังจากนั้นสระด้วยแชมพูจากนั้นล้างออก ปล่อยให้แห้ง โดยระยะเวลาที่ใช้ขึ้นกับสีที่ต้องการ ความหยาบละเอียดของเส้นผม และการออกฤทธิ์ของเฮนนา ความเป็นกรดของสารพอก และอุณหภูมิขณะห่อเส้นผม สีเคลือบจะติดเส้นผมโดยมีผลต่อชั้นนอก (Cuticle) ของเส้นผม ได้สีแดงเรื่อปนน้ำตาล การย้อมซ้ำๆ ทำให้ได้ผลลดลง และทำให้ผมด้าน
      เฮนนาอาจย้อมติดปลายนิ้ว หรือ เล็บ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรง การย้อมด้วยผงเฮนนามีความยุ่งยากในการใช้
ความเป็นพิษ
      เฮนนาไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองและอาการแพ้ ไม่มีความเป็นพิษที่ผิวหนัง และระบบภายในร่างกาย เฮนนาใช้สำหรับย้อมผมเท่านั้น ห้ามใช้กับหนังศีรษะที่เป็นแผล ห้ามใช้ย้อมขนตา ขนคิ้ว หรือ รอบดวงตา
ขอบคุณที่มาของภาพ :  http://static.weloveshopping.com/shop/client/000049/lerdpanich/HN01d.jpg

การทดสอบการแพ้

     การย้อมผมด้วยยาย้อมผมชนิดกึ่งถาวร และยาย้อมผมชนิดซึมเข้าในเส้นผม ต้องทำการทดสอบการแพ้ก่อนย้อม เนื่อง จากยาย้อมผมทำให้เกิดอาการแพ้ได้มากและการแพ้นี้ไม่สามารถทำนายล่วงหน้าได้ บางครั้งคนซึ่งใช้ผลิตภัณฑ์บางอย่างมานานเป็นปีแล้วจึงเกิดอาการแพ้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกาได้แนะนำวิธี
การทดสอบการแพ้ที่ผิวหนังก่อนการย้อมดังนี้
1. ทดสอบการแพ้ทุกครั้งก่อนย้อมผม
2. แบ่งยาย้อมที่จะใช้ย้อม สำหรับนำมาทดสอบ
3. ยาย้อมผมที่จะใช้ทดสอบต้องผสม และเตรียมโดยวิธีเดียวกับที่จะใช้ย้อมจริง ตามคำแนะนำวิธีใช้
4. ใช้แปรงขนอูฐ หรือ สำลีพันปลายไม้ จุ่มยาย้อมที่เตรียมไว้ทาบริเวณผิวหนังหลังใบหู และบริเวณหนังศีรษะเป็นแถบกว้างไม่น้อยกว่า 1/4 นิ้ว และ ยาวไม่น้อยกว่าครึ่งนิ้ว
5. ทิ้งไว้โดยไม่ต้องปิด และไม่รบกวนบริเวณนั้นโดยการหวี ใส่หมวก/ใส่แว่นตา หรือสิ่งอื่นเป็นเวลานาน 24-48 ชั่วโมง หลังจากทา
6. ถ้ามีรอยสีแดง รอยไหม้ คัน ปริ (small blisters) หรือ พุพอง เกิดขึ้นที่บนบริเวณนั้น ภายใน 24 ชั่วโมง แสดงว่ามีอาการแพ้ไม่ควรย้อมผมด้วยยาย้อมผมนั้น

ซึ่งอันตรายของสารเคมีในน้ำยาย้อมผมมี่ดังนี้


1.สารไฮโดรเจนเปอรืออกไซด์(hydrogen peroxide) ซึ่งเป็นสารฟอกสีผมและฆ่าเชื้อโรค จึงมีฤทธิ์ในการทำลายเส้นผมกัดสีผมและหนังศีรษะ ก่อให้เกิดอาการอักเสบและระคายเคืองต่อหนังศีรษะ ตลอดจนทำให้เส้นผมเสียหาย
ขอบคุณที่มาของภาพ http://welcomeqatar.com/wp-content/uploads/2015/11/Hydrogen-Peroxide.jpg

2.สารฟีนิลินไดอะมี(p-phenylenediamine) หรือสีย้อมผมชนิดถาวรนั้นเป็นสารเคมีอันตราย เมื่อดูดซึมเข้าสู่หนังศีรษะแล้ว อาจทำให้เกิดอาการระคายเคือง และหากสะสมอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งหนังศีรษะได้

3.แอมโมเนีย(Ammonia) ซึ่งเป็นตัวช่วยให้สีย้อมผมติดผมนั้น ขณะเดียวกันสารดังกล่าวยังมีฤทธิ์เป็นกรดและด่าง ที่สามารถกัดเส้นผมและหนังศีรษะได้ จึงเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผมเสียผมร่วง และทำให้รากผมอ่อนแอลง 
ขอบคุณที่มาของภาพ : http://ecx.images-amazon.com/images/I/415A4oevmVL._SY300_.jpg

4.สารซิลเวอร์ไนเตรต (Silver nitrate) ซึ่งเป็นสารเคมีที่มีคุณสมบัติในการปกปิดผมขาว โดยตัวสารนี้เมื่ออยู่บนหนังศีรษะ จะทำปฏิกิริยากับอากาศแล้วเปลี่ยนให้เส้นผมกลายเป็นสีดำ ซึ่งสารตัวดังกล่าวมีคุณสมบัติที่ทำให้เกิดการระคาย หากเข้าตาอาจทำให้ตาบอดได้ 
  ขอบคุณที่มาของภาพ : http://www.saltlakemetals.com/images/Silver_Nitrate_50gPouredOut.jpg

5.เลดอะซีเตด(Lead Acetate) ซึ่งเป็นสารตะกั่วที่ใช้ในครีมปกปิดผมขาว ชนิดที่ไม่ต้องล้างออก เช่นเดียวกับสารซิลเวอร์ไนเตรต และเนื่องจากสารตะกั่วนี้มีคุณสมบัติคล้ายกับสารตะกั่วที่ผสมในน้ำมันในอดีต ดังนั้นหากสะสมในร่างกาย อาจทำลายสมองและประสาทสัมผัสได้ ที่สำคัญสารนี้ยังจัดอยู่ในสารก่อมะเร็งด้วยเช่นกัน
ขอบคุณที่มาของภาพ : http://3.imimg.com/data3/DX/GW/MY-838314/lead-acetate-500x500.jpg

ย้อมสีผม เกิน 9 ครั้งต่อปี เสี่ยงมะเร็ง ต่อมน้ำเหลือง เต้านม กระเพาะปัสสาวะ

       นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เปิดเผยว่า น้ำยาย้อมผมแบบถาวร ซึ่งใช้สารเคมีล้วนๆ มาฟอกเม็ดสีผมเดิมออกแล้วใส่สารเคมีที่ทำให้เกิดสีใหม่ลงไป เป็นประเภทได้รับความนิยมใช้มากที่สุด แต่น้ำยาย้อมสีผมประเภทนี้ ทำให้หนังศีรษะดูดซึมเอาสารเคมีไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ จนมีอาการระคายเคืองน้อยถึงมาก ซึ่งหลายคนมักคิดว่าการย้อมผมเสี่ยงเฉพาะผิวหนังศีรษะอักเสบและมะเร็งหนังศีรษะ
       ทั้งนี้ ผลการศึกษาของสหรัฐอเมริกา โดยศึกษาทบทวนรายงานทางการแพทย์จำนวน 79 รายงานทั่วโลกในปี 2548 พบว่าการใช้ยาย้อมผม เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งระบบเลือด เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ชนิดนอนฮอดจ์กิน 1.15 เท่า มะเร็งเต้านม 1.06 เท่า และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ 1.01 เท่า โดยเฉพาะการใช้สารเคมีย้อมผมก่อนปี 2523 เพราะน้ำยาย้อมผมยุคนั้น มีส่วนผสมของสารพิษต่างๆ ที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง แต่สารดังกล่าวไม่ได้ถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ย้อมผมปัจจุบัน
ขอบคุณที่มาของภาพ : http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000011779601.JPEG
ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า ผู้ที่ยังไม่เคยย้อมผมไม่ควรย้อมสีผม โดยเฉพาะคนที่ผมบางหรือผมน้อยอยู่แล้ว เพราะการย้อมผม ทำให้รากผมไม่แข็งแรง ผมหลุดล่วงได้ง่าย ส่วนคนที่เคยย้อมอยู่แล้ว ก็ไม่ควรย้อมเกิน 9 ครั้งต่อปี เพราะอาจทำให้สารเคมีเข้าไปสะสมในร่างกาย

ตัวอย่างอาการพิษ

หรือความผิดปกติในร่างกายที่เกิดจากสารเคมีในเครื่องสำอาง พวกแชมพู น้ำยาย้อมผม น้ำยากัดสีผม น้ำยาโกรกผม น้ำยาดัดผม ยาทาเล็บ ลิปสติก โดยเฉพาะผู้ที่ชอบทำสีผมเปลี่ยนสีผมเป็นประจำ ได้แก่
- ขอบตาคล้ำดำ
- ท้องอืด แน่นเฟ้อ อาหารไม่ค่อยย่อย
- ปวดใต้เข่า ปวดน่อง ร้าวไปถึงฝ่าเท้าและส้นเท้า หรือเจ็บตึงส้นเท้า ขาไม่มีแรง
- ต่อมลูกหมากโตในเพศชาย
- ตับวาย หรือมะเร็งตับ และไตวาย จากพิษที่เข้าไปสะสม
- อาการแสบคัน ปวดแสบปวดร้อนที่หนังศีรษะ ผมร่วง
- หนังศีรษะไหม้คล้ำดำ ลอกเป็นขุย เป็นรังแค
- อาการแสบคันในจมูก น้ำตาไหล และโพรงจมูกอักเสบ จากการสูดดมหรือได้รับกลิ่นสารเคมีในเครื่องสำอาง
- ง่วงนอนบ่อย หาวนอน หลับง่ายแม้ในเวลาที่ไม่ใช่เวลาพักผ่อนตามปกติ
- มะเร็งผิวหนัง และมะเร็งที่อวัยวะที่โดนสารเคมีในเครื่องสำอางหรือยาย้อมผมที่เป็นเคมี เป็นต้น

ยาย้อมผมทำแบบนี้ปลอดภัยกว่า

1. หากผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผม เป็นแบบมีไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ก็ไม่ควรมีความเข้มข้นเกินกว่า 6%
2. ลองเลือกผลิตภัณฑ์ย้อมสีผมที่ไม่มีส่วนผสมของแอมโมเนีย
3. ทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้ทุกครั้ง
4. ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสมุนไพรเป็นหลักก็เป็นตัวเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง ที่จะช่วยบำรุงหนังศีรษะและเส้นผมสวยๆ ของเราระหว่างการทำสี และยังช่วยได้ลดภาระ-ความเสี่ยง จากผลิตภัณฑ์ที่เป็นเคมี 100% ลงได้
5. เว้นระยะห่างในการทำสีผม และอาจใช้สมุนไพรเป็นตัวช่วยในการล้างพิษจากสารเคมีบนหนังศีรษะบ้างหลังการทำสี 

      มาถึงตอนนี้คงมีผู้อ่านหลายท่านเริ่มหวั่นวิตกแล้วว่า เราจะย้อมผมดีไหม หรือบางท่านอาจจะคิดว่าแล้วไง เริ่ดๆ เชิ่ดๆ ฉันไม่สน ฉันชอบแฟชั่นและพร้อมจะเสี่ยง อันนี้ก็ต้องแล้วแต่คนนะคะ ความคิดใคร ความคิดมันค่ะ สำหรับเจ้าของบล็อกเองก็เคยย้อมผมนะคะ ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมาก็ลองทำมาแทบจะทุกทรงแล้วค่ะ รู้นะว่ามันอันตรายแต่ก็พยายามเลือกอันที่สารเคมีน้อยๆ แล้วตัวเจ้าของบล็อกเองก็ไม่ได้ย้อมผมบ่อย 1 ปี ย้อมไม่เคยเกิน 3 ครั้ง เหตุผลที่ย้อมก็เพราะอยากลอง อยากทันสมัย และคิดว่าพอทำงานอาจจะมีบุคลิกที่หน้าเชื่อถือมากขึ้นทำอะไรตามแฟชั่นเหมือนเด็กๆคงไม่ได้ เพราสายงานที่กำลังเรียนอยู่ค่อนข้างมีกฎเกณฑ์ค่ะ ยังไงก็แล้วแต่นี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของเจ้าของบล็อก ข้อฝากข้อคิดไว้ 1 ข้อนะคะว่า “ความสวยงามกับมนุษย์เป็นของคู่กัน ถ้าหากสิ่งสวยงามบางอย่างต้องแลกกับเวลาชีวิตที่น้อยลง ลองถามตัวเองดู...ว่าคุ้มหรือไม่?

ข้อมูลอ้างอิง
1)  http://health.kapook.com/view27833.html : หมวดสุขภาพเว็บกระปุก
2) http://www.smithnjohn.com/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B8%A1.html : สมิธและจอห์น ธรรมชาติบำบัดผสานนาโนเทคโนโลยี
3) http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_toxic/a_tx_1_001c.asp?info_id=59 : ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสิ่งเป็นพิษ ตอนที่ 5 พ.ศ. 2533 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. หน้าที่ 19-22.
4)  http://health.mthai.com/health-news/12458.html : ข่าวสุขภาพเว็บนี้นำข้อมูลมาจากhttp://news.thaipbs.or.th
5)  http://zandjurich.blogspot.com/2010/01/blog-post_23.html : ข้อมูลจาก หนังสือ กินเป็นลืมป่วย
6)  http://thearokaya.co.th/web/?p=3462 : ดิ อโรคยา หมอแดง

ชื่อสารเคมีในภาษาอังกฤษ
4)  http://thaimed-spa.net/th/index.php?option=com_content&task=view&id=101&Itemid=1 : สารซิลเวอร์ไนเตรต
5)  http://dict.longdo.com/search/*acetate* : เลดอะซีเตด

เรียบเรียงโดย : สุชานันท์  พวงมาลี